ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 นับจากจุดต่ำสุดเมื่อ 7 เม.ย. และยังคงทำจุดสูงสุดใหม่ โดยมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Financials, Cruise Lines, Electrical Power, Semiconductor และ Software สะท้อนกระแสเงินทุนไหลกลับและมุมมองเชิงบวกของนักลงทุน ท่ามกลางความชัดเจนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เมื่อ 9 ก.ค. ประธานาธิบดี Donald Trump ได้เลื่อนเส้นตายการเจรจาภาษีออกไปอีก 1 เดือน เปิดทางให้มีการหารือเงื่อนไขเพิ่มเติม ส่งผลให้ตลาดคลายกังวลอย่างมีนัยสำคัญ หลายประเทศบรรลุข้อตกลงภาษีกับสหรัฐฯ ที่อัตราต่ำกว่าที่เคยประเมิน เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่ 15% ไทยและเวียดนามที่ 19–20% โดยต่างตอบแทนด้วยการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% เพิ่มคำสั่งซื้อสินค้าเกษตรและพลังงาน รวมถึงขยายการลงทุนในสหรัฐฯ
ผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยในจำนวน 333 บริษัท จากดัชนี S&P 500 ที่รายงานแล้ว มีถึง 274 บริษัท หรือกว่า 82% ที่มีกำไรดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยกำไรสุทธิโดยเฉลี่ยเติบโต +8.2% YoY และสูงกว่าคาดการณ์ตลาดถึง +8.1% การเติบโตนี้สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารต้นทุนและการสร้างรายได้ที่มีประสิทธิภาพในหลายอุตสาหกรรม โดยกลุ่มที่โดดเด่น ได้แก่: Consumer Discretionary: นำโดย Amazon, GM และ Ford, Financials: ได้แรงหนุนจากผลประกอบการของ JPMorgan, Citigroup, Wells Fargo และ Goldman Sachs และ Technology ที่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักผ่าน Meta, Micron, Lam Research และ ServiceNow ผลประกอบการที่แข็งแกร่งนี้ช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเป็นแรงหนุนสำคัญให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นยุโรป

ดัชนี Euro Stoxx 600 ปรับลดลง -1.03% ในเดือน ก.ค. แม้ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Banks, Travel & Leisure และ Energy ที่ปรับขึ้น 5–7% MoM ตามผลประกอบการไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร เช่น HSBC, BBVA, Barclays, UniCredit และ Standard Chartered ที่รายงานกำไรโดดเด่น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังถูกถ่วงจากหุ้นกลุ่ม Media, Retail, Real Estate และ Chemicals ที่เผชิญแรงกดดันจากกำไรอ่อนแอ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับลง 4–6% MoM ขณะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนเริ่มอ่อนตัว หลังสหภาพยุโรปไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า 15% จากสหรัฐฯ และยังคงมีกระแสความความไม่ชัดเจนในข้อตกลงการค้าดังกล่าวตามมา

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ในเดือนก.ค. ดัชนี Nikkei 225 ปรับขึ้น +2.29% ขณะที่ TOPIX ขยับขึ้นในทิศทางเดียวกัน โดยได้แรงหนุนจากความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น ซึ่งบรรลุข้อตกลงลดภาษีนำเข้า (รวมรถยนต์) จาก 25% เหลือ 15% ช่วยคลายความกังวลต่อภาคส่งออกและหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน อีกปัจจัยบวกคือค่าเงินเยนที่อ่อนค่าแตะระดับ 150.9–151 เยน/ดอลลาร์ฯ ในช่วงกลางเดือน ส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นส่งออกโดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ เครื่องจักร และเทคโนโลยี

มองไปข้างหน้า ตลาดญี่ปุ่นยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มเชิงบวกของข้อตกลงการค้า และผลประกอบการแข็งแกร่งของกลุ่ม Megacap Tech และ Hyperscaler ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออุปสงค์เซมิคอนดักเตอร์ โดยญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก ทั้งด้านการผลิตเวเฟอร์ (Front-End) และการประกอบ/ทดสอบ (Back-End) ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์ AI อย่างมีนัยสำคัญ

ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีน
ในเดือนก.ค. ดัชนี CSI 300 ของจีนแผ่นดินใหญ่ปรับขึ้น +3.54% และดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง +2.91% โดดเด่นกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Biopharma เช่น Sino Biopharma, Wuxi Apptec, CSPC Pharma และ Wuxi Biologics ที่รายงานผลประกอบการแข็งแกร่ง (บวกกับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ การเร่งพัฒนา R&D การควบคุมต้นทุน การให้สิทธิ์การใช้สิทธิบัตรกับต่างประเทศ และการเป็นพันธมิตรกับบริษัทยาข้ามชาติ

ขณะเดียวกัน Sentiment ตลาดได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงของผู้นำระดับสูงของจีนที่ย้ำถึงความสำคัญของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก นักลงทุนจึงจับตามาตรการสนับสนุนที่จะประกาศเพิ่มเติม ว่าจะมีความชัดเจนและเพียงพอในการฟื้นความเชื่อมั่นเศรษฐกิจจีนได้หรือไม่ในระยะถัดไป

ตลาดหุ้นไต้หวัน
ดัชนี TAIEX ของไต้หวันปรับขึ้น +5.78% ในเดือน ก.ค. นำโดยแรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ TSMC ที่รายงานรายได้ไตรมาส 2 เติบโต +38.6% YoY และมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ขณะที่หุ้นอื่นในกลุ่มเดียวกัน เช่น MediaTek, UMC และ Foxconn ก็ได้แรงหนุนจากแนวโน้มเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินทุนใน ETF เริ่มมีสัญญาณพักฐาน โดย Dividend ETFs ยังมีเงินไหลเข้าเล็กน้อยราว +1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่กลุ่ม Other ETFs มีเงินไหลออกมากถึง -2.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุนที่ชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มเทคโนโลยีในระยะข้างหน้า

ตลาดหุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลงในเดือน ก.ค. โดยดัชนี Nifty 50 ลดลง -2.93% และ BSE Sensex ร่วง -3.42% แม้ผลประกอบการ Q2/2025 จะออกมาแข็งแกร่ง โดยบริษัทในดัชนี MSCI India ที่รายงานผลแล้วประมาณ 72% ของมูลค่าตลาด (ราว 90 บริษัท) มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเฉลี่ย +10% YoY นำโดยกลุ่มการเงินที่รายงานผลใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด

อย่างไรก็ดี บรรยากาศการลงทุนถูกกดดันจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้ นักลงทุนต่างชาติ (FPI) กลับมาขายสุทธิรวม 17,741 ล้านรูปี นับเป็นเดือนแรกที่มีเงินไหลออก หลังจากมีเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า (เม.ย.–มิ.ย.) โดยแรงขายกระจุกตัวในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน สะท้อนความกังวลต่อผลกระทบดังกล่าว

ตลาดหุ้นเวียดนาม
ดัชนี VN Index ของเวียดนามปรับตัวขึ้นโดดเด่น +11.31% ในเดือน ก.ค. แสดงผลตอบแทนที่เหนือกว่าทั้ง MSCI Emerging Markets (+8.8%) และ MSCI ACWI (+1.9%) อย่างชัดเจน และ outperform ตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน ระดับ Forward P/E ของตลาดหุ้นเวียดนามยังอยู่บริเวณช่วงล่างของกรอบเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และต่ำกว่าค่ามัธยฐานอย่างชัดเจน สะท้อนว่า Valuation ปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนศักยภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการในระยะต่อไปอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหลักอื่น ๆ ในภูมิภาคและระดับโลก

ตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงกลางถึงปลายเดือนก.ค. โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยบวกหลายด้าน ทั้งการประเมินมูลค่าหุ้นที่ยังอยู่ในระดับน่าสนใจ (attractive valuations) ความชัดเจนในการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ และการคลี่คลายความตึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการชุมนุมประท้วงลงอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ดัชนีจะเผชิญแรงกดดันชั่วคราวจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา แต่สถานการณ์ก็เริ่มผ่อนคลายหลังจากสหรัฐฯ เข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงปลายเดือน
โดยดัชนี SET Index ปิดสิ้นเดือนก.ค. 2025 ที่ระดับ 1,242.35 จุด เพิ่มขึ้น +152.79 จุด หรือ +14.02% MoM สะท้อนการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของ sentiment นักลงทุนในประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก
 

ปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ : รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนมิ.ย. ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย โดยดัชนี CPI ทั่วไปเพิ่มขึ้น +2.7% YoY  ขณะที่ Core CPI เพิ่มขึ้น +2.9% YoY ซึ่งยังถือว่าอยู่ในกรอบที่ควบคุมได้ แม้ว่าสัญญาณผลกระทบจากภาษีนำเข้าจะเริ่มปรากฏ แต่ยังคงอยู่ในระดับจำกัดในขณะนี้ หนึ่งในเหตุผลที่ผลกระทบจากภาษียังไม่สะท้อนชัดในตัวเลข CPI คือ อัตราภาษีนำเข้าที่บริษัทต้องจ่ายจริงในช่วงที่ผ่านมา ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Reorganization) ทางด้านตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 110,000 ข้อมูลย้อนหลังถูกปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญโดย เดือนมิ.ย.จาก 147,000 เหลือ 14,000 ตำแหน่ง และ เดือนพ.ค. ปรับลดลงอีก 125,000 ตำแหน่ง รวมแล้วการจ้างงานในสองเดือนนี้ต่ำกว่ารายงานก่อนหน้า รวม 258,000 ตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานอาจเริ่มเข้าสู่ช่วงเย็นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ด้านภาคบริการใกล้ภาวะชะงักงัน โดยดัชนี ISM Services PMI เดือนก.ค. ลดลงสู่ระดับ 50.1 จาก 50.8 ในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 51.5

โดยสรุป แม้ตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย แต่แรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้นและสัญญาณการชะลอตัวของแรงงานและภาคบริการ อาจทำให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการกำหนดนโยบายในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะท่ามกลางแรงกดดันจากการใช้จ่ายการคลังของภาครัฐและความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้า



เศรษฐกิจยูโรป : เศรษฐกิจยูโรโซนแสดงสัญญาณฟื้นตัว โดยยอดค้าปลีกในเดือนมิ.ย. ขยายตัว +3.1% YoY ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2024 และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ +2.6% สะท้อนถึงการฟื้นตัวของอุปสงค์ภาคครัวเรือน แม้จะเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนด้านการค้าในระดับโลก  ด้านดัชนี Composite PMI เดือนก.ค. เพิ่มขึ้นเป็น 51.0 (+0.4 จุด) ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เล็กน้อย โดยได้แรงหนุนจากทั้งภาคบริการและภาคการผลิต ในด้านนโยบายการคลัง ที่ประชุมสุดยอด NATO ได้มีมติร่วมกันให้ประเทศสมาชิกเร่งเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมขึ้นเป็น 5% ของ GDP โดยแบ่งเป็นงบประมาณด้านความมั่นคงหลัก 3.5% และด้านไซเบอร์และข่าวกรองอีก 1.5% เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงประเมินเชิงบวก โดยระบุว่าการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข็งค่าของเงินยูโร จะมีส่วนช่วยลดแรงกดดันด้านราคาลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 2.0% YoY ตรงตามที่ตลาดคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ECB ยังคงท่าทีระมัดระวัง และไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะสั้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีที่น่าจะได้รับแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่ยังคงมีความไม่ชัดเจน

เศรษฐกิจจีน : แม้รัฐบาลจีนยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ปี 2025 ที่ 5% YoY แต่สัญญาณการฟื้นตัวภายในประเทศยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในภาคเอกชนซึ่งยังคงมีความเปราะบาง ส่งผลให้ความต้องการกู้ยืมยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน แม้ว่าธนาคารกลางจีน (PBoC) จะได้ดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2024 แต่การขยายตัวของสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจยังคงถูกขับเคลื่อนโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก สะท้อนว่าการขยายตัวที่เกิดขึ้นยังคงพึ่งพาการกระตุ้นผ่านภาครัฐ ในระยะถัดไป ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มจะปรับจุดเน้นไปใช้ มาตรการเฉพาะจุดมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายการคลัง ขณะเดียวกัน ก็มีแนวโน้มชะลอการใช้นโยบายผ่อนคลายขนาดใหญ่ โดยคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียง 10bps และลดอัตราส่วนกันสำรอง (RRR) ลงอีก 50bps ในไตรมาส 4/2025

เศรษฐกิจญี่ปุ่น : ญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าไว้ที่ 15% ภายใต้เงื่อนไขว่าญี่ปุ่นจะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่ารวมประมาณ 550 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่าจะใช้เงินลงทุนโดยตรงเพียง 1–2% ของวงเงินทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะระดมทุนจากแหล่งอื่นโดยไม่ต้องแปลงค่าเงิน ช่วยลดความกังวลต่อแรงกดดันต่อค่าเงินเยน
ด้านการประชุมเดือน ก.ค. 2025 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณเข้มงวด (Hawkish) จากการปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อ Core CPI ขึ้นเป็น 2.7% ในปีงบ 2025, 1.8% ในปี 2026 และ 2.0% ในปี 2027 อย่างไรก็ดี ผู้ว่าการ BOJ นายอูเอดะระบุว่า การปรับคาดการณ์ดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย โดย BOJ ยังคงรอดูผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และปัจจัยการเมืองภายในก่อนตัดสินใจดำเนินนโยบายเพิ่มเติม ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในญี่ปุ่นยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาสูงซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและทิศทางนโยบายเศรษฐกิจในระยะถัดไป

เศรษฐกิจไต้หวัน : รัฐบาลทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ชั่วคราวกับไต้หวันในอัตรา 20% ซึ่งยังต่ำกว่าอัตราภาษี "Liberation Day" ที่ 32% โดยปัจจุบันทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีเพิ่มเติม แม้ภาพรวมของนโยบายการค้าจะยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง ด้านเศรษฐกิจไต้หวัน ขยายตัวดีกว่าคาดอย่างชัดเจนในช่วง Q1/2025 และ Q2/2025 อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจใน Q3/2025 อาจเริ่มชะลอตัวลงบ้าง ตามแรงส่งออกที่เริ่มอ่อนแรงลงมากขึ้น แต่ยังคงได้แรงหนุนจากกระแสการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักของเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจอินเดีย  : เศรษฐกิจอินเดียขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ระดับ 7.4% YoY ในไตรมาส 1/2025 ได้แรงหนุนหลักจากการลงทุนรวมที่เพิ่มขึ้น +9.4% ตามการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งช่วยผลักดันภาคก่อสร้างให้เติบโต +10.8% และภาคการผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว +4.8% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ไตรมาส ภาคการบริโภคภาคเอกชนยังคงเติบโตในระดับแข็งแกร่งที่ +6.0% สะท้อนความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง
การขยายตัวของภาคเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นของภาครัฐ และแนวโน้มการลงทุนในภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียในอัตรา 25% ซึ่งเป็นประเด็นกดดันสำคัญที่ควรจับตาในระยะถัดไป

เศรษฐกิจเวียดนาม : เศรษฐกิจเวียดนามใน Q2/2025 ขยายตัวเร่งขึ้นที่ระดับ +7.96% YoY ได้แรงหนุนจากการส่งออกที่ฟื้นตัว การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ในด้านการค้าระหว่างประเทศ เวียดนามยังคงรักษาความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ ที่เวียดนามมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 74.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี แม้เวียดนามจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง +22.7% YoY จากผลของการลดภาษีนำเข้า แต่ภาพรวมยังสะท้อนภาคการค้าที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นขณะเดียวกัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ก็เร่งตัวขึ้น โดยมีมูลค่าแตะ 13.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือนม.ค.–ก.ค. 2025 เพิ่มขึ้น +8.4% YoY ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีสำหรับช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเวียดนามในฐานะศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกของภูมิภาค

แนวโน้มตลาด
เรามองว่าในเดือน ส.ค. 2025 ความสนใจของนักลงทุนเริ่มเปลี่ยนจากประเด็นความเสี่ยงด้านการค้าระหว่างประเทศไปสู่แนวโน้มของเศรษฐกิจภายในสหรัฐมากขึ้น หลังความกังวลด้านภาษีทยอยคลี่คลาย จากการที่สหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าได้สำเร็จ บรรยากาศในตลาดจึงเริ่มหันมาจับตาทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และท่าทีของธนาคารกลาง (Fed) ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินก่อนการประชุม FOMC ในเดือนก.ย. ที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ เรายังมองว่าตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพยุงทิศทางดัชนี โดยเฉพาะกระแสการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยังคงเป็นธีมหลักของตลาด ข้อมูลจากการประกาศผลประกอบการล่าสุดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ สะท้อนแนวโน้มการขยายการลงทุนด้าน Capex อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความคาดหวังว่า Fed อาจส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน หากอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลง อย่างไรก็ดี ความกังวลในตลาดยังคงมีอยู่จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่สะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ไม่สม่ำเสมอ และจากปัจจัยเชิงฤดูกาล ซึ่งตามสถิติในอดีต ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนในแดนลบในช่วงเดือน ส.ค. และ ก.ย. ของทุกปี จึงเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการจัดพอร์ตและจับตาสัญญาณเชิงนโยบายอย่างใกล้ชิด

LHGEQP
กองทุนหุ้นโลกที่กระจายการลงทุนตามดัชนีอ้างอิง MSCI ACWI ลงทุนใน iShares MSCI ACWI ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ครอบคลุมทั้งประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาวจากหุ้นทั่วโลก

LHMEGA
กองทุนหุ้นโลกเน้นหุ้นเติบโตขนาดใหญ่ ลงทุนใน Schroder International Selection Fund Global Innovation (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่ได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ เช่น AI, Cloud, Digital Economy

LHGIGO                                                            
ลงทุนใน Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV เน้นหุ้น Space Economy มีโอกาสเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตกองทุนตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก ลงทุนใน Man Global Investment Grade Opportunities (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก ในระดับ Investment grade มุ่งเน้นความมั่นคงของพอร์ต เหมาะสำหรับรับมือภาวะตลาดที่ผันผวนและลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

LHSPACE                                                             
กองทุนธีมเศรษฐกิจอวกาศ ลงทุนใน Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV เน้นลงทุนในบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมอวกาศ เช่น ดาวเทียม ระบบขนส่ง และเทคโนโลยีสำรวจ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต?

LHESPORT                                                              
กองทุนธีมอีสปอร์ตและเกมมิ่ง ลงทุนใน VanEck Vectors Video Gaming and eSports ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกมทั่วโลก ซึ่งเติบโตต่อเนื่องตามพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคดิจิทัล

LHQTUM  
กองทุนธีมควอนตัมเทคโนโลยี ลงทุนใน Defiance Quantum ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานของ Quantum Technology และ AI พร้อมคัดเลือกบริษัทที่สะท้อนธีมควอนตัมอย่างแท้จริง เพื่อคว้าโอกาสจากเมกะเทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
 

Source:LHFUND, Reuters, Trading Economy, investing.com, JPMorgan, Golman Sachs, CNBC\
Data as of: 6 August 2025

เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือ
ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน