สรุปภาวะตลาด

DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จากจีน เปิดตัวโมเดล Reasoning AI- R1 กดดันหุ้นเทคโนโลยี
- บริษัท DeepSeek เป็นสตาร์ทอัพที่รวบรวมนักวิจัยระดับปริญญาเอก (Ph.D.) จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มาร่วมกันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนา AI ภายใต้ข้อจำกัดด้านชิป (semiconductor) ที่เป็นความท้าทายทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของจีน
- บริษัท DeepSeek ใช้ชิป Nvidia H800 ซึ่งมีประสิทธิภาพต่ำกว่า H100 เนื่องจาก H100 อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ ในการพัฒนาโมเดล R1 ซึ่งเป็นโมเดล Reasoning AI โดยอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ OpenAI O1 (ซึ่งเป็น Reasoning AI เช่นเดียวกัน) แต่สามารถลดต้นทุนในการเทรน AI ผ่านโมเดลภาษาของ DeepSeek ได้ถึง 90%
- โมเดล DeepSeek-R1 ได้รับการออกแบบให้สามารถ "คิดทีละขั้นตอน" (Chain-of-thought) โดยไม่ต้องพึ่งพาข้อมูล Supervised จำนวนมากเหมือนในอดีต อีกทั้งยังนำเทคนิค Mixture-of-Experts (MoE) มาใช้ ซึ่งช่วยแบ่งโมเดลออกเป็นผู้เชี่ยวชาญหลายส่วน ทำให้ลดการใช้ทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล
- ด้วยการออกแบบดังกล่าว DeepSeek-R1 สามารถทำงานร่วมกับ GPU อย่าง H800 ซึ่งมีประสิทธิภาพต่ำกว่า H100 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา GPU ระดับสูงที่มีราคาสูง นอกจากนี้ ยังนำเทคนิค DualPipe มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่าง GPU ส่งผลให้ลดจำนวน GPU ที่ต้องใช้ลง แต่ยังคงประสิทธิภาพในการประมวลผลได้อย่างเต็มที่
- S&P 500 และ Nasdaq ร่วงลงอย่างรุนแรงในวันจันทร์ โดย S&P500 -1.46% และ NASDAQ -3.07%ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่หุ้น AI ที่อาจแตกจากการเกิดขึ้นของ DeepSeek ซึ่งอาจพัฒนาโมเดล AI ที่มีความสามารถในการแข่งขันด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า Open AI อย่างมากหุ้นต้นน้ำ AI (Upstream AI Stocks) ต่างพากันปรับตัวลง นำโดย Nvidia ลดลงเกือบ 17% และ Broadcom ลดลง 17.4% ขณะที่ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ในด้านพลังงานก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม หุ้นปลายน้ำ AI (Downstream AI Stocks) หรือที่ได้ประโยชน์จากการพัฒนาระบบ Software AI อย่าง Apple ปรับตัวขึ้น 3% และ Meta ขึ้น 2% สะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนในกลุ่มที่สามารถใช้ประโยชน์จาก AI โดยใช้ประโยชน์จาก Hardware ที่หลากหลายขึ้น
การมาของ DeepSeek ไม่เพียงสร้างแรงกดดันต่อหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรม AI โดยจุดประเด็นคำถามสำคัญว่า ชิปเซมิคอนดักเตอร์ระดับสูงยังจำเป็นอยู่หรือไม่ หากสามารถพัฒนาโมเดล AI ที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพได้ ด้วยการใช้ชิปที่มีสเปคและต้นทุนต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม DeepSeek ยังเผชิญกับข้อจำกัดในหลายด้าน เช่น ซอฟต์แวร์และข้อมูล รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ที่อาจยังไม่รองรับการขยายตัวอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมี ระบบเซ็นเซอร์ตัวเอง ในการจัดการประเด็นอ่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับจีน นอกจากนี้ จีนยังคงเผชิญกับข้อจำกัดในการส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจฉุดรั้งการเติบโตของ DeepSeek ในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น เรามองว่า ยุคของ AI เพิ่งเริ่มต้น โดยในอนาคตจะมีการเข้าสู่ Agentic AI ในปี 2025 ซึ่งถือเป็นเฟสแรกที่ AI จะเริ่มทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิด ในยุคถัดไปคือ เฟสของ Physical AI ซึ่ง AI จะสามารถโต้ตอบและทำงานในโลกความเป็นจริง และต่อเนื่องไปสู่ Artificial General Intelligence (AGI) ที่ AI จะสามารถเลียนแบบความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ได้ ในแต่ละเฟสเหล่านี้ ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงยังคงมีความจำเป็น เพื่อรองรับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามว่า DeepSeek จะสามารถพัฒนาไปในทิศทางใด
สรุปกลยุทธ์การลงทุน
LHSEMICON ซึ่งเป็นกองทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งหมดของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
สำหรับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนอยู่แล้ว: แนะนำให้ถือแนะนำให้ถือต่อไปก่อน เนื่องจากอุตสาหกรรม AI ยังคงมีแนวโน้มเติบโต แต่ควรติดตามสถานการณ์ตลาดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์อย่างใกล้ชิด
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ถือหน่วยลงทุน: แนะนำให้รอดูภาพรวมตลาดและทิศทางตลาดให้นิ่งก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะสั้น
โดยควรจัดสรรน้ำหนักการลงทุนไม่เกิน 10-20% ของพอร์ต และตั้งจุด Stop Loss ที่ 7-10% จากราคาทุน
LHDIGITAL ซึ่งเป็นกองทุนมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีศักยภาพการเติบโตระยะยาวเป็นหลัก โดยเน้นการลงทุนในกลุ่ม AI, ระบบคลาวด์ และการชำระเงินดิจิทัล หรือบริษัทขับเคลื่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งนำไปสู่การปรับตัวของเศรษฐกิจในอนาคต
สำหรับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนอยู่แล้ว: แนะนำให้ถือแนะนำให้ถือต่อไป เนื่องจากอุตสาหกรรม AI โดยเฉพาะ Software AI มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ถือหน่วยลงทุน: แนะนำให้ทยอยสะสมแบบเมื่อย่อตัว
โดยควรจัดสรรน้ำหนักการลงทุนไม่เกิน 10-20% ของพอร์ต และตั้งจุด Stop Loss ที่ 7-10% จากราคาทุน
LHMEGA ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในบริษัททั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างธุรกิจและอุตสาหกรรมสู่รูปแบบใหม่
สำหรับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนอยู่: แนะนำถือเป็น Core portfolio ตามการลงทุนแบบ Bottom Up ที่เน้นมุมมองการลงทุนระยะกลางถึงยาว
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ถือหน่วยลงทุน: ควรรอเข้าซื้อช่วงตลาดผันผวนจากปัจจัยชั่วคราว
ตั้งจุด Stop Loss ที่ 7-10% จากราคาทุน
ทั้งนี้ นักลงทุนควรติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิดและวางแผนการลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้