LAND AND HOUSES FUND MANAGEMENT CO.,LTD

ข่าวสารและกิจกรรม

สรุปภาวะตลาด




ราคาน้ำมันพุ่ง ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้น 5% สู่ระดับ 73.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สาเหตุมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง หลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐฯ ไม่ปฏิเสธการสนับสนุนการโจมตีสถานีขุดเจาะน้ำมันของอิหร่านโดยอิสราเอล เหตุการณ์นี้สร้างความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันในระยะสั้น ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค ล่าสุดในเช้าวันศุกร์ ราคาน้ำมันยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 0.12% สู่ระดับ 77.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ WTI เพิ่มขึ้น 0.11% สู่ระดับ 73.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งทั้งสอง benchmarks กำลังจะปิดสัปดาห์ด้วยการเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ทำให้เห็นถึงความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันที่ยังไม่ลดลง

ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการตอบสนองต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์นี้เล็กน้อย โดย S&P500 ปรับตัวลดลง 0.17% และ Dow Jones ลดลง 0.44% ในขณะที่ดัชนี VIX ซึ่งวัดความผันผวนของตลาด ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 8.41% และราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น 5% ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะช่วยเพิ่มกำไรให้กับบริษัทในกลุ่มนี้ ในขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มธุรกิจที่มีการใช้พลังงานสูง เช่น การขนส่งและการผลิต อาจเผชิญกับแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นักลงทุนยังคงเฝ้าระวังการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เช่น ข้อมูลการจ้างงานและดัชนี PMI ภาคบริการ ซึ่งจะบ่งบอกแนวโน้มความต้องการพลังงานในอนาคต



แนวโน้มตลาด

ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด หากเกิดการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดในโลก อาจทำให้อุปทานน้ำมันโลกลดลงอย่างรุนแรงและดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นไปอีก ล่าสุดมีรายงานจากบลูมเบิร์กว่าสหรัฐและอิสราเอลกำลังหารือกันถึงความเป็นไปได้ในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่านในอ่าวเปอร์เซีย หากการโจมตีเกิดขึ้นจริง อิหร่านได้ออกมาขู่ว่า "น้ำมันจะไม่ไหลออกจากตะวันออกกลางแม้แต่หยดเดียว" ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันอย่างรุนแรงในยุโรป และราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในระดับโลก เหตุการณ์ดังกล่าวอาจสร้างแรงกระแทกอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่พึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลางอย่างมาก ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจสามารถรับมือกับความต้องการน้ำมันในระยะสั้นได้ดีกว่า เนื่องจากอุปทานน้ำมันในตลาดยังคงเพียงพอ และการเปิดใช้งานแหล่งน้ำมันและท่าเรือส่งออกของลิเบีย หลังจากการแก้ไขข้อพิพาททางการเมือง จะช่วยบรรเทาภาวะขาดแคลนน้ำมันในบางส่วนถึงแม้ว่าจะมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลาง แต่อุปทานสำรองจากกลุ่ม OPEC และความมั่นคงของอุปทานน้ำมันทั่วโลกยังช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้ โดยเฉพาะจากลิเบียและอิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกของ OPEC ทั้งคู่ แม้ว่าตลาดยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหยุดชะงักของอุปทานในขณะนี้ แต่ผลกระทบในระยะยาวจากสถานการณ์ความขัดแย้งยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

มุมมอง

นักลงทุนสามารถใช้โอกาสนี้กระจายพอร์ตการลงทุนไปยังหุ้นในกลุ่มพลังงานหรือกองทุนที่มีการลงทุนในบริษัทพลังงานรายใหญ่ เช่น หุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานหรือบริษัทที่มีรายได้สัมพันธ์กับราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน สามารถช่วยเพิ่มความต้องการพลังงานในระยะยาว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในกลุ่มพลังงาน นักลงทุนควรพิจารณาโอกาสในการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่จำเป็นต่อการขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในสภาวะตลาดที่ผันผวน



กองทุนแนะนำ


แนะนำกองทุน LHDIVB ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานสูงถึง 26% ของพอร์ต เช่น ExxonMobil (XOM), Chevron (CVX), ConocoPhillips (COP) และ Phillips 66 (PSX) นอกจากนี้ กองทุนยังมีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม value stocks สูงถึง 50% ซึ่งมักมีความทนทานต่อความผันผวนของตลาดมากกว่าหุ้นในกลุ่ม growth ช่วงที่ตลาดมีความผันผวน กองทุน DIVB มักให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า S&P500 เนื่องจากมีการลงทุนในกลุ่ม IT และ Consumer Discretionary ที่น้อยกว่า
 
 
Source: tradingeconomics

กรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ