สรุปภาวะตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน,
ตลาดหุ้นยุโรป ฟื้นตัวต่อเนื่อง
สรุปเหตุการณ์ที่สำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา
- ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี DJI +1.6% S&P 500 +0.9% Nasdaq +0.2% Dow แตะระดับสูงสุดเหนือระดับ 40,000 จุด จากความหวังการลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน จากการ แถลงการต่อรัฐสภาสหรัฐของ Fed Powell สะท้อนภาพผ่อนคลาย เงินเฟ้อสหรัฐในมิถุนายน ที่น้อยกว่าคาดโดยลดลง 0.1% m-m จากที่คาดว่า +0.1% m-m เงินเฟ้อจีนในมิถุนายน ที่น้อยกว่าคาดโดย +0.2% y-y จากที่คาดว่า +0.4% y-y การเลือกตั้งรอบ2 ของฝรั่งเศสที่ผลไปทางพรรคฝ่ายกลาง-ซ้าย
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้มีความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยตลาดนั้นได้มีปัจจัยบวก จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง โดยดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่น 10 ปี ได้ปรับตัวลดลงจาก 4.36% ลงมาที่ 4.21% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 เดือน โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก ตัวเลขการจ้างงาน Non-farm Payrolls และอัตราค่าจ้างของสหรัฐฯ เดือนมิ.ย. ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เช่นเดียวกับ อัตราการว่างงานที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.1% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI และ Core CPI เดือนมิ.ย. ที่ 3.0% และ 3.3% y/y นั้นมีการปรับตัวลดลง และออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้น ได้ทำให้ตลาดนั้นได้มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า ธ.กลางสหรัฐฯ (Fed) นั้นจะทำการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในวันที่ 18 ก.ย. นี้ และจะตามมาด้วยการลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งภายในช่วงปลายปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม แรงขายทำกำไรในกลุ่ม Technology โดยเฉพาะกลุ่ม AI Theme นั้นได้เกิดขึ้นในวันที่ 11 ก.ค. โดยนักลงทุนบางส่วนนั้นมองว่า หุ้นในกลุ่ม Growth และ Defensive นั้นได้ปรับตัวขึ้นเป็นอย่างมากมาแล้วตั้งแต่ต้นปี 2024 จากความคาดหวังต่ออัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่จะปรับตัวลดลง ซึ่งได้ทำให้ Valuation ของกลุ่มนั้นเทรดอยู่ในระดับที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเป็นอย่างมาก จึงได้เริ่มเห็นแรงขายทำกำไร และได้เกิดการ Rotation ของเงิน เข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่ม Laggards (กลุ่มที่ขึ้นมาน้อยกว่าตลาด) อาทิเช่นกลุ่ม Regional Banks, Green Energy และกลุ่มวัฎจักรดั้งเดิมอย่างธนาคาร และพลังงาน นอกจากนี้ ข่าวที่บริษัท Tesla นั้นจะทำการเลื่อนการเปิดตัว “Robotaxi” หรือแท๊กซี่อัตโนมัติไร้คนขับ ออกจากเดือนส.ค. เป็นต.ค. นั้นได้ทำให้นักลงทุนนั้นมีขายทำกำไรหุ้นในกลุ่ม AI ออกมาก่อน
- ตลาดหุ้นยุโรป ได้มีการฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยตลาดนั้นได้ลดความกังวลต่อความเสี่ยงมหภาคของยุโรป หลังจากผลการเลือกตั้งของฝรั่งเศส และอังกฤษ ซึ่งถึงแม้ว่ารัฐบาลฝรั่งเศสนั้น จะยังคงมีการจัดตั้งรัฐบาล และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ยาก แต่การที่ไม่มีเสียงส่วนใหญ่ที่ชัดเจนในสภานั้น ก็หมายความว่ารัฐบาลฝรั่งเศสนั้น จะไม่สามารถออกนโยบายสุดโต่งที่มีความเสี่ยงต่อสถานะทางการคลังของประเทศได้ เช่นเดียวกับ รัฐบาลชุดใหม่ของอังกฤษ ที่มีแนวโน้มที่จะยังคงมีความระมัดระวังต่อการขาดดุลงบประมาณ โดยเศรษฐกิจยุโรปนั้น มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวจากการที่ธ.กลางยุโรป (ECB) นั้นได้อยู่ในวัฎจักรของการลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง
- ตลาดหุ้นไทย SET +20.05 จุด (+1.5%) สู่ระดับ 1332.04 จุด เป็นการปรับขึ้น 2 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน จากความหวังการลดดอกเบี้ยในสหรัฐ และ digital wallet โดยนักลงทุนต่างชาติ เป็นผู้ขายสุทธิ Bt3.1bn แต่ นักลงทุนสถาบันในประเทศ เป็นผู้ซื้อสุทธิ Bt0.4bn
15 กรกฎาคม: จีน GDP (2Q) (YoY) คาดว่าอยู่ที่ 5.0% โดยไตรมาสก่อนอยู่ที่ 5.3%
16 กรกฎาคม: สหรัฐ Fed Powell ให้สัมภาษณ์
17 กรกฎาคม: ไทย ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล
18 กรกฎาคม: ยุโรป ECB Meeting คาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.5%
19 กรกฎาคม: ญี่ปุ่น เงินเฟ้อ (มิถุนายน) (YoY) คาดว่าอยู่ที่ 2.8% โดยเดือนก่อนอยู่ที่ 2.8%
- LHGEQ มีกลยุทธ์การลงทุนใน Quality Growth Stock และบริหารแบบเชิงรุก เน้นคัดหุ้นที่มีคุณภาพและแนวโน้มการเติบโตของกำไรในหุ้นทั่วโลก โดยเน้นการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ประกอบกับสัญญาณทางเทคนิคของ S&P 500 Index ที่ปิดเหนือ All time high เราจึงมองว่าหุ้นในกลุ่ม Big/Mid Cap , Growth มีโอกาสไปต่อได้อีก
- LHSEMICON โดยลงทุนหลักใน iShares Semiconductor ETF – SOXX เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีเช่น กลุ่มผู้ผลิตต้นน้ำ,กลุ่มผู้ผลิตที่ไม่มีโรงงานเป็นของตนเอง (Fabless Semiconductor Manufacturing),กลุ่มที่เชี่ยวชาญการผลิตชิพที่เกี่ยวข้องกับ S-Curve ใหม่ดังกล่าว หรือกลุ่มที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าคู่แข่งเป็นผู้นำตลาด หรือกลุ่มอื่นๆที่มีผลประกอบการและแนวโน้มการเติบโตโดดเด่น ตัวอย่างเช่น NVIDIA, Broadcom, AMD, Intel, Texas Instrument เป็นต้น
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน