สรุปภาวะตลาด
ตัวเลขเศรษฐกิจทรงตัว ตลาดปรับตัวออกข้าง และรอดูผลประชุม FOMC วันที่ 12 นี้
สรุปเหตุการณ์ที่สำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา
- ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Dow +0.3% S&P 500 +1.3% Nasdaq +2.4% จากตัวเลขการจ้างงานที่ชะลอลง และ ISM ภาคการผลิตที่แย่กว่าคาด ขณะที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรดีกว่าคาด และ NVIDIA ปรับขึ้นราว 10% ระหว่างสัปดาห์ โดยธนาคารกลางยุโรปปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ตาดคาด
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งในสัปดาห์นี้ ซึ่งสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรุ่น 10 ปี (อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่สำคัญของตลาดการเงินโลก) ได้ปรับตัวลดลงจากระดับ 4.55% ลงมาที่ 4.29% ในสัปดาห์นี้ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากตัวเลขเศรษฐกิจ อาทิเช่น ตัวเลข ISM Manufacturing & Services Price Paid และ Unit Labor Costs ที่ออกมาต่ำกว่ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อในภาคค่าแรงที่เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชน ADP Employment และ Job Openings ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งตัวเลขทั้งหมดนั้น บ่งชี้ถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังออกจากภาวะขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นมาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ธ.กลางสหรัฐฯ (Fed) นั้นมีแนวโน้มที่จะทำการลดอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นในครึ่งปีหลัง
- สัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นยุโรป ได้มีการฟื้นตัวและกลับมาทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์อีกครั้ง หลังจากที่ธ.กลางยุโรป (ECB) ได้ทำการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี จาก 4.50% เป็น 4.25% โดยหุ้นในกลุ่ม Technology ได้มีการปรับตัวขึ้น +6.2% ในสัปดาห์นี้ (เช่น ASML +11%) และตามมาด้วยกลุ่ม Health Care +2.56% (เช่น Novo Nordisk +6%) โดยหุ้นในกลุ่ม Growth stock และ Defensive นั้น ได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง และในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น
- ตลาดหุ้นเอเชีย ได้มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยในสัปดาห์นี้ โดยตลาดนั้นยังคงขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ โดยนักลงทุนยังคงจับตามองทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ธ.กลางในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้เริ่มเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ได้เริ่มมีการปรับตัวลดลง
- ตลาดหุ้นไทย SET -12.92 จุด (-1.0%) สู่ระดับ 1332.74 จุด เป็นการลดลง 3 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน จากแรงขายต่างชาติ และความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยนักลงทุนต่างชาติ เป็นผู้ขายสุทธิ Bt6.0bn
12 มิถุนายน: จีน เงินเฟ้อ (พฤษภาคม) (YoY) คาดว่าอยู่ที่ 0.4% โดยเดือนก่อนอยู่ที่ 0.3%
12 มิถุนายน: สหรัฐ เงินเฟ้อ (พฤษภาคม) (YoY) คาดว่าอยู่ที่ 3.4% โดยเดือนก่อนอยู่ที่ 3.4%
12 มิถุนายน: ไทย ประชุม กนง. คาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50%
12 มิถุนายน: ไทย ศาลรัฐธรรมนูญ นัดการพิจารณายุบพรรคก้าวไกลหรือไม่
12 มิถุนายน: สหรัฐ ประชุม FOMC คาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.50%
13 มิถุนายน: ญี่ปุ่น ประชุม BoJ คาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.1%
- LHGEQ มีกลยุทธ์การลงทุนใน Quality Growth Stock และบริหารแบบเชิงรุก เน้นคัดหุ้นที่มีคุณภาพและแนวโน้มการเติบโตของกำไรในหุ้นทั่วโลก โดยเน้นการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ประกอบกับสัญญาณทางเทคนิคของ S&P 500 Index ที่ปิดเหนือ All time high เราจึงมองว่าหุ้นในกลุ่ม Big/Mid Cap , Growth มีโอกาสไปต่อได้อีก
- LHSEMICON โดยลงทุนหลักใน iShares Semiconductor ETF – SOXX เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีเช่น กลุ่มผู้ผลิตต้นน้ำ,กลุ่มผู้ผลิตที่ไม่มีโรงงานเป็นของตนเอง (Fabless Semiconductor Manufacturing),กลุ่มที่เชี่ยวชาญการผลิตชิพที่เกี่ยวข้องกับ S-Curve ใหม่ดังกล่าว หรือกลุ่มที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าคู่แข่งเป็นผู้นำตลาด หรือกลุ่มอื่นๆที่มีผลประกอบการและแนวโน้มการเติบโตโดดเด่น ตัวอย่างเช่น NVIDIA, Broadcom, AMD, Intel, Texas Instrument เป็นต้น
Source: LHFUND, LHSEC, CNBC, UOB Kay Hian, Tisco
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน