LAND AND HOUSES FUND MANAGEMENT CO.,LTD

ข่าวสารและกิจกรรม

สรุปภาวะตลาด




ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกในสัปดาห์นี้



ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI World S&P500 NASDAQ และ MSCI China index (1-8 ก.ย.) ได้ปรับตัวลดลง -1.3%, -1.26%, -1.35% และ -1.16% ตามลำดับส่วน SET Index ปรับตัว -0.81%
ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีดังต่อไปนี้
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 4.11% มาที่ 4.26% และได้ทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรทั่วโลก ได้กลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งในสัปดาห์นี้ และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากตัวเลข ISM Manufacturing และ ISM Services  เดือนส.ค. นั้นออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เช่นเดียวกับ ราคาของสินค้าอุตสาหกรรม และค่าบริการที่ปรับตัวสูงขึ้น นั้นได้ทำให้ตลาดกลับมากังวลต่อความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้ออีกครั้ง ที่อาจจะทำให้ธ.กลางสหรัฐฯ นั้นอาจจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงกว่า 5% นานกว่าที่ตลาดคาดการณ์
  • ราคาหุ้นบริษัท Apple ที่ได้ปรับตัวลดลงกว่า 6.4% ในวันที่ 6-7 ก.ย. (Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่า market cap สูงที่สุดในโลกที่ 2.77 ล้านล้าน USD และมีน้ำหนักใน S&P500 ถึง 7%) โดยได้รับผลกระทบหลังจากที่รัฐบาลจีน ได้ประกาศให้ข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ หยุดใช้โทรศัพท์ iPhone และอุปกรณ์ของ Apple ทั้งหมด เช่นเดียวกับบริษัท Huawei ที่ได้ออกโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ที่มีชิปเทคโนโลยีสูงเทียบเท่า ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนนั้น คาดว่าปัจจัยทั้งสองนั้นจะส่งผลกระทบต่อยอดขาย iPhone กว่า 15-20 ล้านเครื่องต่อปีในจีน นอกจากนี้ สถานการณ์ดังกล่าว นั้นยังบ่งชี้ถึงความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีน และสหรัฐฯ ที่ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น และเป็นผลกระทบที่นักลงทุนควรที่จะจับตามองอย่างใกล้ชิด
  • ในส่วนของตลาดหุ้นจีน ดัชนีตลาดเซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง ได้กลับมาปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้ โดยถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนนั้น จะออกมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาและปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่างๆ ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าภาคอุตสาหกรรม, ภาคบริการ และการบริโภคภายในประเทศนั้น ยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงต่อ โดยยังคงรอดูท่าทีของรัฐบาลจีน โดยตลาดยังคงคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน ที่มากกว่านี้
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ได้ปรับตัวสูงขึ้นราวๆ 4.7% และ 2.4% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ โดยตลาดยังคงมีความกังวลต่อผลกระทบจากการที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ยังคงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจนถึงสิ้นปีนี้ ในขณะที่สต็อกคงคลังน้ำมันดิบของสหรัฐฯ นั้นปรับตัวลดลงกว่า 26 ล้านบาร์เรลในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
  • ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET Index ได้ปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดยการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี, ถ่านหิน และโรงกลั่น โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจของจีนนั้นชะลอตัวลงนั้น ได้ส่งผลกระทบทำให้ส่วนต่างกำไรของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และโรงกลั่นนั้น มีแนวโน้มปรับตัวลดลง  
 
 
  • 12 ก.ย. ยุโรป: ZEW Survey Expectations เดือนก.ย. โดยตัวเลขของเดือนส.ค.อยู่ที่ -5.5 จุด
  • 13 ก.ย. สหรัฐฯ: ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือนส.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 3.6% y/y (สูงกว่าเดือนก.ค.ที่ 3.20%)
  • 14 ก.ย. สหรัฐฯ: Retail Sales เดือนส.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ +0.1% y/y (ต่ำกว่าเดือนก.ค.ที่ 0.7%)  
  • 14 ก.ย. ยุโรป: การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเงินฝากที่ 3.75% และดอกเบี้ยนโยบาย Refinance ที่ 4.25%   
  • 15 ก.ย. จีน: Industrial Production เดือนส.ค. โดยตลาดคาดการณ์ +3.9% y/y (สูงกว่าเดือนก.ค.ที่ 3.7%), Retail Sales เดือนส.ค. โดยตลาดคาดการณ์ +3.0% y/y (สูงกว่าเดือนก.ค.ที่ 2.5%)
 
 
  • นักลงทุนในตลาดสหรัฐฯ จะจับตามองตัวเลขเงินเฟ้อ และตัวเลขค้าปลีกอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นั้นจะมีการประชุมในวันที่ 20 ก.ย. โดยนักลงทุนบางส่วน นั้นกำลังจับตามองความน่าจะเป็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และทำให้วัฎจักรเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง หรือ เศรษฐกิจจะชะลอตัวจนเข้าสู่ภาวะ Recession ในปี 2024 แต่อย่างไรก็ตาม ทาง LHFUND ยังมีมุมมองว่าถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นไม่ได้มีการชะลอตัว และเงินเฟ้อที่ไม่ได้สูงจนเกินไปนั้น จะทำให้ตลาดกลับมาให้ความสนใจกับผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ ที่ยังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3 และ 4 โดยเฉพาะกลุ่ม Technology ที่ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมธุรกิจ AI, Cloud, Datacenter และ EVs ต่างๆ เป็นต้น
  • ถึงแม้ว่าทางรัฐบาลจีน นั้นจะออกมาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอสังหาฯ และภาคธนาคาร และตลาดยังคงอยู่ในภาวะ Oversold ในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะยังคงจับตามองตัวเลขเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ว่าเศรษฐกิจจะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสถานการณ์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงของเศรษฐกิจในระยะกลาง ถึงยาว นั้นจะยังคงอยู่
  • โดยตลาดหุ้นไทย นั้นมีความชัดเจนที่มากขึ้นต่อมาตรการ Digital Wallet เงิน 1 หมื่นบาท ที่จะส่งผลดีโดยตรงต่อกลุ่มค้าปลีก และห้างสรรพสินค้า แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตามองผลกระทบต่อ หลายอุตสาหกรรมในไทย ที่ยังคงได้รับผลกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
  • LHGEQ : กระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดี มีหนี้สินต่ำ เป็นผู้นำในตลาด มีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในระยะถัดไปคาดว่าตลาดหุ้นยังเป็น sideway up จากดอกเบี้ยทั่วโลกที่ใกล้ระดับสูงสุดแล้ว
  • LHHEALTH : เหมาะกับตลาดทั้งขาลงและขาขึ้น มีสัดส่วนประมาณ 50% ใน pharmaceutical, healthcare services ที่ค่อนข้าง defensive สิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ อายุที่เพิ่มขึ้น หรือ รายได้เพิ่มขึ้น และอีก 50% ในกลุ่ม healthcare เช่น biotech , life sciences, healthcare equipment ที่มี growth สูง ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี
  • LHESPORT : การเติบโตของรายได้ที่สม่ําเสมอ บริษัทวิดีโอเกมมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาโดย กระจายไปทั่วแพลตฟอร์มและเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ตอนนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ใหญ่ที่สุดของรายได้จากเกมทั่วโลก ใหญ่กว่าทั้งพีซีและคอนโซล LHESPORT ปรับตัวลงการขายทำกำไรกว่า 10% ในเดือน ส.ค. 23 มองป็นโอกาส trading
ที่มา LHFUND, CNBC, Investing.com, Bloomberg, ThaiPBS

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
 

กรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ