LAND AND HOUSES FUND MANAGEMENT CO.,LTD

ข่าวสารและกิจกรรม

สรุปภาวะตลาด




ตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นำโดยดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง หนุนโดยผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ของบริษัทต่างๆ ที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์เป็นส่วนใหญ่ เช่น United Health Group, Tesla เป็นต้น ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปกลับมา underperform  ขณะที่ตลาดหุ้นจีน H-share ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง หลังมีเม็ดเงินกลับเข้าลงทุนในหุ้น Technology ขนาดใหญ่เช่น Alibaba ที่ปรับตัวลงแรงจน valuation น่าสนใจ

มุมมองการลงทุน
ตลาดหุ้น
คาดตลาดยังคงให้ความสำคัญกับผลประกอบการไตรมาส 3/2564 และมุมมองต่อผลประกอบการในอนาคตของผู้บริหาร รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยยังคงมองว่าหุ้นกลุ่มที่มีโอกาส outperform ตลาดโดยรวมในระยะ 6 เดือนข้างหน้าคือหุ้นกลุ่ม Value, Cyclical เช่น ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศใน EM ที่ยัง laggard และเศรษฐกิจมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้าเช่น ASEAN เป็นต้น แม้จะมีโอกาส underperform ในระยะสั้นหลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนรับรู้โอกาสในการขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือมากกว่าในปี 2565 ไปแล้ว ส่วนหุ้นจีน (offshore) นั้นคาดว่ามีโอกาส bottom out ไปแล้วหรืออย่างช้าในช่วงปลายปี ในส่วนของตลาดหุ้นไทยหลังกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่มีผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ที่ดีกว่าคาดการณ์ ทำให้คาดว่าผลกระทบจากการระบาดของ COVID น่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากกว่าคาดการณ์ และผลประกอบการณ์น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า น่าจะยังทำผลงานได้ดีต่อไป แม้ระยะสั้นมีโอกาส underperform บ้าง
PF&REITs
คาด REITs เอเชียรวมถึงไทยมี downside risk ค่อนข้างจำกัด จากราคาที่ laggard โดยหากการฉีดวัคซีนก้าวหน้าจะเป็นปัจจัยหนุน REITs กลุ่มนี้ได้ รวมถึงมีอัตราเงินปันผลที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Global REITs จึงน่าจะ outperform ได้ในระยะถัดจากนี้


กลยุทธ์การลงทุน และกองทุนที่น่าสนใจ
ระยะยาว ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากกว่า REITs และตราสารหนี้ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่อาจไม่ปรับตัวขึ้นรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา เพราะสภาพคล่องในระบบลดลง รายได้และกำไรของบจ. บางประเทศที่ชะลอลง แนะนำ Buy on Dip โดยแนะนำ

LHJAPE (ระดับความเสี่ยง 6 และมี FX Risk) นโยบายภาครัฐยังสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ Valuation ถูกกว่าสหรัฐฯ และยุโรป กำไรต่อหุ้นถูกปรับขึ้น ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ และมักปรับตัวขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี
LHTPROP (ระดับความเสี่ยง 8) และ LHPROPIA (ระดับความเสี่ยง 8 และมี FX Risk) ซึ่งมีโอกาสได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดเศรษฐกิจหลังผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น มีอัตราเงินปันผลและ Earning Yield Gap ปี 2022 สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และยัง laggard
LHMSFL (ระดับความเสี่ยง 6) สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย และ LHSMARTDSSF (ระดับความเสี่ยง 5) สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นและ PF&REITs ไทยพร้อมประหยัดภาษี โดยแนะนำทยอยลงทุนเมื่อ SET Index ปรับตัวใกล้ระดับ 1,600 จุด +/-

โดยแนะนำลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุน
*ผู้ลงทุนสามารถติดตามมุมมองการลงทุน Thai REITs, Asian REITs และหุ้นไทยได้ตามบทความที่ได้ส่งออกก่อนหน้า


Key Event ในสัปดาห์นี้
ต่างประเทศ
-การประชุม ECB (มีโอกาสส่งสัญญาณนโยบายการเงินตึงตัว) / การประชุม BOJ (คาดคงนโยบายการเงิน)
-ผลประกอบการบจ. Q3/2564, GDP ไตรมาส 3/2564 ของสหรัฐฯ (คาด 3% yoy)
-ดัชนีทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ, อัตราการว่างงานเยอรมนี เป็นต้น
ภายในประเทศ
-ผลประกอบการบจ. Q3/2564 กลุ่ม Real Sector

ที่มา LHFund 21 ต.ค. 64























 

กรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ