กองทุนแนะนำ

"เทคโนโลยีของโลกในอนาคตปัจจุบันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว"
บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขอแนะนำ3 กองทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม Deep Tech หรือ เทคโนโลยีขั้นสูง ที่นับวันหลายๆ ธุรกิจทั่วโลกต่างมีความต้องการมากขึ้น

"เสริมพอร์ตลงทุนด้วย Space Economy ธีมการลงทุนแห่งอนาคต ในยุคที่โลกต้องการนวัตกรรมขั้นสูง"
โลกปัจจุบันต้องการเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่าที่เคย เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและขับเคลื่อนการเติบโตทำให้ เศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy) กลายเป็น Mega Trend สำคัญที่กำลังจะเข้ามาปฏิวัติทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเมื่อโลกเข้าสู่การแข่งขันด้านอวกาศอีกครั้ง (Space Race 2.0) ส่งผลให้อวกาศเป็นตัวแปลที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ ด้วยระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมการส่งจรวด การสื่อสาร การสำรวจโลก และการป้องกันประเทศ ทำให้บริษัทเทคโนโลยีและรัฐบาลทั่วโลกต่างทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำ
6 เสาหลักของเศรษฐกิจอวกาศ ที่สร้างการเติบโตแห่งอนาคต
1.โครงสร้างพื้นฐานการเข้าถึงอวกาศ (Space Access)
เทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยลดต้นทุนการปล่อยดาวเทียมลงกว่า 90% ในรอบทศวรรษ เปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
2.การสื่อสารและเชื่อมต่อทั่วโลก (Global Connectivity)
กลุ่มดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) กำลังสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่บนโลก ตอบโจทย์ยุคดิจิทัลและ Internet of Things (IoT)
3.ข้อมูลสำรวจโลก (Earth Observation)
ข้อมูลจากดาวเทียมถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) การจัดการภัยพิบัติ ไปจนถึงการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4.ความมั่นคงและป้องกันประเทศ (National Security & Defense)
อวกาศได้กลายเป็นสมรภูมิยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ทำให้รัฐบาลทั่วโลกต้องลงทุนในสินทรัพย์ทางอวกาศเพื่อความมั่นคงของชาติ สร้างอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและไม่ผันผวน
5.นวัตกรรมและเทคโนโลยีสนับสนุน (Enabling Technologies)
การเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสนับสนุนที่สำคัญ เช่น หุ่นยนต์ AI เซมิคอนดักเตอร์ และวัสดุขั้นสูง
6.พรมแดนใหม่ (New Frontiers)
เกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งขยายโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวในอวกาศ การทำเหมืองแร่ดาวเคราะห์น้อย และการสร้างที่อยู่อาศัยนอกโลก
Source: World Economic Forum; McKinsey & Company; U.S. Space Force Strategic Outlook
การกลับมาของ Space Race 2.0 เปลี่ยนเกมการลงทุนในนวัตกรรมยุคใหม่ เพราะอวกาศได้กลายเป็นสมรภูมิยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ
ตัวอย่างประเทศที่เร่งลงทุนในอวกาศ
- สหรัฐฯ – เพิ่มงบประมาณกองทัพอวกาศและเร่งโครงการป้องกันขีปนาวุธ Golden Dome
- ยุโรป – องค์กรอวกาศยุโรป (ESA) เพิ่มงบประมาณเพื่อสร้างกลุ่มดาวเทียมของตนเอง
- ญี่ปุ่น – ร่วมมือกับสหรัฐฯ ในโครงการสำรวจดวงจันทร์ Artemis และพัฒนาจรวด H3
- แคนาดา – เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์อวกาศ (Canadarm) และเรดาร์สำรวจโลก
- Rocket Lab & NASA – มีความร่วมมือกันหลายโครงการ ตั้งแต่สัญญาศึกษาแนวทาง Mars Sample Return (MSR) ซึ่งป็นโครงการร่วมกันของ NASA ที่มีเป้าหมายจะนำตัวอย่างดินและหินจากดาวอังคารกลับมายังโลก เพื่อศึกษาวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับธรณีวิทยา และโครงการภายใต้นโยบายพาณิชย์ของ NASA
- L3Harris & U.S. Space Force – L3Harris รายงานผลประกอบการแข็งแกร่ง โดยระบุว่า Golden Dome และอวกาศ คือตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลัก
ขอแนะนำกองทุน LHSPACE ลงทุนก้าวล้ำ เข้าถึงเศรษฐกิจอวกาศระดับโลก
LH SPACE ECONOMY FUND (LHSPACE) เปิดโอกาสสำคัญในการลงทุนกับ New Space Economy โดย LHSPACE เป็นกอง Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund Class I Accumulating- USD (“กองทุนหลัก”) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อคัดเลือกบริษัทที่เป็นผู้นำและผู้ที่ได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศอวกาศ เพื่อการลงทุนสู่โอกาสครั้งใหม่ที่เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด
สถานการณ์ปัจจุบันของกองทุนหลัก Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund
กองทุน Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund (กองทุนหลักของ LHSPACE) สร้าง ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ +56.05% เทียบกับดัชนีชี้วัด MSCI ACWI ที่ +18.41% (ข้อมูล ณ 18 ก.ย. 2025) โดยปัจจัยหนุนหลักยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนจากนวัตกรรมของภาคเอกชนและการลงทุนจากภาครัฐทั่วโลก
Source: Fund Factsheet, Bloomberg, Financial Times as of 18 Sep 2025
ปัจจัยสนับสนุนกองทุน
1.ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานอวกาศที่สูงขึ้น: ข่าวล่าสุดช่วงเดือนสิงหาคม 2025 บริษัท MDA Space ของแคนาดา ได้รับสัญญาเบื้องต้นมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ (option รวมอาจแตะ 2.5 พันล้านดอลลาร์) สำหรับ LEO D2D constellation สหรัฐฯ จาก EchoStar เพื่อสร้างกลุ่มดาวเทียม LEO ซึ่งสะท้อนถึงวัฏจักรการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร
Source: MDA Space Press Release, August 2025
2.นโยบายภาครัฐที่เร่งผลักดันอุตสาหกรรม: ร่างคำของบประมาณกลาโหมสหรัฐฯ ปี 2026 มีข้อเสนอเพิ่มงบให้แก่กองทัพอวกาศ (U.S. Space Force) สูงถึง 40% โดยมีโครงการสำคัญคือ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธยุคใหม่ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอวกาศขั้นสูง
3.การเปลี่ยนบทบาทของ NASA: จากผู้สร้าง มาเป็นลูกค้ารายใหญ่ของภาคเอกชนอย่างเต็มตัว โดยสนับสนุนบริษัทอย่าง Rocket Lab ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเร่งการพัฒนาเทคโนโลยี
Source: U.S. FY2026 Budget Proposal Analysis

จุดเด่นของกองทุน
1.ลงทุนครบวงจร – เข้าถึงทั้งระบบนิเวศ ตั้งแต่ผู้สร้างจรวด ผู้ผลิตดาวเทียม ผู้พัฒนาเทคโนโลยี ไปจนถึงผู้ที่นำข้อมูลมาใช้ประโยชน์
2.Actively Managed (บริหารเชิงรุก) – ผู้เชี่ยวชาญคัดเลือกหุ้น 25-50 ตัวที่ดีที่สุดทั่วโลก พร้อมปรับพอร์ตให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม
3.Strategic & Balanced (กลยุทธ์สมดุล) – ใช้กลยุทธ์ Barbell ผสมผสาน หุ้นดาวรุ่งเติบโตสูง เข้ากับหุ้นยักษ์ใหญ่มั่นคง เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง
Source: Neuberger Berman. Data as of 31 August 2025
Top 10 holdings (as of 18 September 2025)
Rocket Lab Corp: 5.97% - ผู้นำด้านการปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กด้วยจรวด Electron และกำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยจรวด Neutron ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ พร้อมเป็น One-Stop-Shop ในการสร้างส่วนประกอบดาวเทียม
BAE Systems PLC: 3.66% - ยักษ์ใหญ่ด้านวิศวกรรมป้องกันประเทศจากอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ชิป GPS ที่ทนทานต่อการรบกวน และ Cyber security technologies ที่จำเป็นต่อการปกป้องสินทรัพย์ในอวกาศ
1.Singapore Technologies Engineering: 3.52% - ยักษ์ใหญ่ด้านวิศวกรรมจากสิงคโปร์ และเป็นผู้นำด้านระบบสื่อสารดาวเทียมภาคพื้นดิน (Satcom) ในการเชื่อมต่อเครือข่ายดาวเทียม LEO กลับมายังโลก
2.MDA Space Ltd: 3.36% - ผู้สร้างแขนกล Canadarm อันโด่งดัง และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเรดาร์สำรวจโลกและเสาอากาศดาวเทียม
3.AST SpaceMobile Inc: 3.15% - ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีดาวเทียมที่สามารถส่งสัญญาณ 5G ตรงเข้าสู่สมาร์ทโฟนมาตรฐานได้โดยตรง มีศักยภาพที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและเชื่อมต่อผู้คนทั่วโลก
4.Amphenol Corp: 3.01% - บริษัทผู้ผลิตระบบเชื่อมต่อ สายสัญญาณ และเซ็นเซอร์ประสิทธิภาพสูง ที่มีความสำคัญและถูกใช้ในทุกยานอวกาศและดาวเทียม
5.Mitsubishi Heavy Industries Ltd: 2.99% - บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมหนักของญี่ปุ่น และเป็นผู้ผลิตจรวด H3 ซึ่งเป็นจรวดหลักของประเทศ มีบทบาทสำคัญในโครงการอวกาศของญี่ปุ่นและพันธมิตร
6.Dassault Aviation SA: 2.99% - ยักษ์ใหญ่ด้านการบินจากฝรั่งเศส และเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ออกแบบ 3D (CATIA) ที่ถูกใช้ในกระบวนการออกแบบและการผลิตที่ซับซ้อนของอุตสาหกรรมอวกาศทั่วโลก
7.Teledyne Technologies Inc: 2.67% - ผู้นำด้านเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ดิจิทัลและกล้องอินฟราเรดประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกล้องโทรทรรศน์อวกาศและดาวเทียมสำรวจโลก
8.Kratos Defense & Security Solutions: 2.51% - ผู้พัฒนาระบบอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์บริหารจัดการเครือข่ายภาคพื้นดินสำหรับควบคุมกลุ่มดาวเทียม LEO จำนวนมากSource: Company Filings, Analyst Consensus Estimates via Bloomberg, Data as of August 2025
คำแนะนำการลงทุน (Investment Recommendation)
1.สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในการเติบโตระยะยาว
- คำแนะนำ: ทยอยสะสม
- เหตุผล: Space Economy Theme เป็น Mega Trend ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตไปอีกหลายทศวรรษ โดยได้รับแรงหนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ แม้ในระยะสั้นอาจมีความผันผวนสูงจากปัจจัยมหภาคและความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัท แต่สำหรับนักลงทุนที่มีมุมมอง 3-5 ปีขึ้นไป การทยอยสะสมหน่วยลงทุนในช่วงที่ตลาดย่อตัว ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างฐานต้นทุนที่แข็งแกร่งเพื่อการเติบโตในระยะยาว
- คำแนะนำ: จัดสรรในสัดส่วนที่เหมาะสมและใช้กลยุทธ์ DCA
- เหตุผล: ควรจัดสรรกองทุน LHSPACE เป็น ส่วนเสริมพอร์ต (Satellite) ในสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก เช่น 10-20% ของพอร์ตทั้งหมด และใช้วิธี ทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (Dollar-Cost Averaging - DCA) เป็นรายเดือน เพื่อลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนผิดจังหวะและช่วยเฉลี่ยต้นทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง
Data as of September 18, 2025


"พลังประมวลผล Quantum Technology" ก้าวกระโดดของเทคโนโลยียุค AI
ในยุคปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ความต้องการด้านพลังการประมวลผล เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ จนระบบคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมใกล้ถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ภายใต้บริบทดังกล่าว คอมพิวเตอร์ควอนตัม (Quantum Computing) ได้ถูกยกให้เป็น “การปฏิวัติทางเทคโนโลยี” ครั้งสำคัญ ด้วยศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์นับล้านเท่า เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดในอุตสาหกรรมทั่วโลก ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่และรัฐบาลต่างทุ่มเงินลงทุนมหาศาล
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของ Quantum Technology
1.ความต้องการพลังประมวลผลขั้นสูงที่พุ่งทะยาน: ตลาด AI ทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 5.267 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2035 CAGR 30.84% ต่อปี (ที่มา: ResearchAndMarkets) ซึ่งความต้องการนี้ได้ส่งผลโดยตรงต่อยอดขายชิปและโครงสร้างพื้นฐานที่บริษัทในพอร์ต QTUM เป็นผู้ผลิตหลัก
2.นโยบายภาครัฐและการลงทุนมหาศาล: รัฐบาลทั่วโลกได้ประกาศแผนการลงทุนในเทคโนโลยีควอนตัมรวมแล้วสูงถึง ~42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ที่มา: McKinsey Quantum Technology Monitor) เงินทุนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นส่วนสนับสนุนและเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญที่ขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาของอุตสาหกรรม
Note: The boundaries and names shown on maps do not imply official endorsement or acceptance by McKinsey & Company. Sources: McKinsey & Company, 2023
3.ความก้าวหน้าทางเทคโนลยีควอนตัมที่จับต้องได้: บริษัทในพอร์ตอย่าง IBM และ IonQ ได้ประกาศ Roadmap ที่ชัดเจนในการไปสู่ Quantum Advantage และความสำเร็จล่าสุดในการสร้าง Logical Qubits ที่มีความเสถียรสูงขึ้นโดย Microsoft และ Quantinuum ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดเป็นอย่างมาก
6 เหตุผลสำคัญที่ Quantum Computing จะเปลี่ยนโลกอนาคต
1.ขุมพลังใหม่ของ AI
ควอนตัมจะเข้ามาเป็นพลังของการประมวลผล ที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพขั้นต่อไปของ AI ทำให้สามารถฝึกฝนโมเดลที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิมได้
2.เร่งการค้นพบนวัตกรรมการแพทย์
สามารถจำลองโมเลกุลยาได้อย่างแม่นยำในคอมพิวเตอร์ และลดระยะเวลาการค้นพบยาใหม่จาก 10-15 ปี ให้สั้นลงอย่างมหาศาล
3.ปฏิวัติอุตสาหกรรมการเงิน
เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยง การจัดพอร์ตการลงทุน และการกำหนดราคาสินทรัพย์ที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ
4.สร้างวัสดุใหม่เพื่อโลกที่ยั่งยืน
ออกแบบวัสดุใหม่สำหรับแบตเตอรี่ EV ที่ดีกว่าเดิม หรือการดักจับคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้ทุกอุตสาหกรรม
แก้ปัญหา Optimization ที่ซับซ้อน เช่น การวางแผนโลจิสติกส์ หรือการจัดตารางการผลิตในโรงงาน ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้อย่างมหาศาล
6.ขับเคลื่อนโดยผู้นำระดับโลก
บริษัทยักษ์ใหญ่และรัฐบาลทั่วโลกต่างแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้นำ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ตัวอย่างความร่วมมือและการใช้งานจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
อุตสาหกรรม | บริษัทที่ใช้งาน | การประยุกต์ใช้ |
การเงิน | JPMorgan Chase | พัฒนาอัลกอริทึมสำหรับ Portfolio Optimization และ Risk Management |
ยานยนต์ | Mercedes-Benz | ร่วมมือกับ PsiQuantum เพื่อใช้ควอนตัมในการ ออกแบบแบตเตอรี่ EV |
เภสัชกรรม | Janssen (J&J) | ร่วมมือกับ Pasqal เพื่อใช้ควอนตัมในการ จำลองโมเลกุลยา |
ความมั่นคง | กองทัพอากาศสหรัฐฯ | เซ็นสัญญากับ IonQ เพื่อติดตั้งระบบควอนตัมสำหรับงานวิจัย |
LH Fund ขอแนะนำกองทุน LHQTUM ลงทุนก้าวล้ำ เข้าถึงเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
LH QUANTUM TECHNOLOGY FUND (“LHQTUM”) จาก บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ โดย LHQTUM เป็นกอง Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ Defiance Quantum ETF (QTUM) (“กองทุนหลัก”) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน Quantum Computing และ AI Ecosystem เพื่อพลิกเกมการลงทุนสู่โอกาสครั้งใหม่ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
สถานการณ์ปัจจุบันของกองทุนหลัก Defiance Quantum ETF
กองทุน Defiance Quantum ETF (กองทุนหลักของ LHQTUM) ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีสูงถึง +74.26% (ข้อมูล ณ วันที่ 18 กันยายน 2568) โดยปัจจัยหนุนหลักยังคงเป็นความต้องการพลังประมวลผลขั้นสูงจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก เมกะเทรนด์ AI และ ความก้าวหน้าทางเทคนิคของควอนตัม ที่กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

จุดเด่นของกองทุน
1.ลงทุนเข้าถึงทั้ง Quantum&AI Ecosystem
ลงทุนครบวงจรตั้งแต่ผู้ผลิตชิป, ผู้สร้างฮาร์ดแวร์, ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์, ไปจนถึงผู้ให้บริการคลาวด์
2.ลงทุนเติบโตทั้งสอง Mega Trend
ได้ประโยชน์จาก การเติบโตของ AI ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน และ ศักยภาพของควอนตัมในอนาคต
3.ลงทุนกระจายการลงทุนทั่วโลก
ลงทุนในบริษัทชั้นนำทั่วโลก และใช้กลยุทธ์ Smart Weighting เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
Top 10 หลักทรัพย์ที่ลงทุน (as of 18 September 2025)
1.Rigetti Computing Inc: 2.41% - ผู้พัฒนา Superconducting Quantum Computer ด้วยสถาปัตยกรรม Multi-chip ที่มีโอกาสขยายขนาดได้สูง
2.Ionq Inc: 2.13% - ผู้นำเทคโนโลยี Trapped-ion ที่มีความแม่นยำและเสถียรสูงสุด ได้รับความไว้วางใจจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ
3.Oracle Corp: 1.86% - ผู้นำด้าน Cloud Infrastructure (OCI) ที่กำลังกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของโมเดล AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก
4.Tower Semiconductor Ltd: 1.84% - ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชิปเฉพาะทาง (Specialty Foundry) สำหรับเซ็นเซอร์, อุปกรณ์ Analog, และ RF ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบนิเวศเทคโนโลยี
5.Baidu Inc: 1.71% - ผู้นำด้าน Search Engine และ AI ของจีน มีทีมวิจัยควอนตัมที่แข็งแกร่งของตัวเอง (Paddle Quantum) และให้บริการควอนตัมผ่านคลาวด์
6.Mongodb Inc: 1.66% - ผู้สร้างแพลตฟอร์มฐานข้อมูลแบบ NoSQL ที่ยืดหยุ่นและขยายขนาดได้ง่าย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับแอปพลิเคชัน AI และ Big Data สมัยใหม่
7.Intel Corp: 1.63% - ตำนานแห่งวงการเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังกลับมาอย่างแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์โรงหล่อ (Foundry) และเป็นผู้นำในการวิจัย Silicon Spin Qubits
8.Micron Technology Inc 1.61% - หนึ่งในผู้ผลิตชิปหน่วยความจำ (DRAM และ NAND) รายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ Data Center ที่ใช้ฝึก AI
9.D-wave Quantum Inc 1.60% - ผู้นำเทคโนโลยี Quantum Annealing ที่มี Use Case แก้ปัญหา Optimization ในภาคธุรกิจจริงมากที่สุด
10.Alphabet Inc: 1.57% - เจ้าของ Google และทีมวิจัยควอนตัมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เป็นผู้ประกาศ Quantum Supremacy เป็นครั้งแรก
คำแนะนำการลงทุน
1.สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในการเติบโตระยะยาว (Long-Term Growth Investors)
คำแนะนำ ทยอยสะสม
เหตุผล ธีมควอนตัมและ AI เป็นเมกะเทรนด์ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตไปอีกหลายทศวรรษ แม้ในระยะสั้นอาจมีความผันผวนสูงจากปัจจัยมหภาคและ Valuation ที่สูง แต่สำหรับนักลงทุนที่มีมุมมอง 3-5 ปีขึ้นไป การทยอยสะสมหน่วยลงทุนในช่วงที่ตลาดย่อตัว ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างฐานต้นทุนที่แข็งแกร่งเพื่อการเติบโตในระยะยาว
2.สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
คำแนะนำ จัดสรรในสัดส่วนที่เหมาะสมและใช้กลยุทธ์ DCA (Allocate & DCA)
เหตุผล ควรจัดสรรกองทุน LHQTUM เป็น ส่วนเสริมพอร์ต (Satellite) ในสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก เช่น 10-20% ของพอร์ตทั้งหมด และใช้วิธีทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (Dollar-Cost Averaging - DCA) เป็นรายเดือน เพื่อลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนผิดจังหวะและช่วยเฉลี่ยต้นทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน
กองทุนนี้เหมาะสำหรับ ผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากเทคโนโลยีปฏิวัติโลก มีมุมมองการลงทุนระยะยาว และสามารถยอมรับความผันผวนในระดับสูงได้ เพื่อแลกกับศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในอนาคต
Data as of September 18, 2025


"เพิ่มศักยภาพพอร์ตลงทุนด้วย Nuclear Power พลังงานแห่งอนาคตในยุค AI"
โลกปัจจุบันต้องการพลังงานแค่มากขึ้น และต้องเป็นพลังงานที่สะอาดและเสถียรตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อขับเคลื่อนการประมวลผล เช่น AI และ Data Center
ทำให้พลังงานเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องตอบสนองความต้องการระดับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า Hyperscale พลังงานนิวเคลียร์ยุคใหม่ โดยเฉพาะเทคโนโลยี Small Modular Reactor: SMR หรือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก จึงได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามา ปฎิวัติวงการพลังงาน ด้วยศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าที่มั่นคง ปลอดภัย ใช้พื้นที่น้อย และปราศจากคาร์บอน ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Meta เลือกที่จะลงทุนกับพลังงานชนิดนี้ และรัฐบาลชาติตะวันตกต่างออกนโยบายสนับสนุนอย่างจริงจัง
ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้พลังงานนิวเคียร์กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง
1.ความต้องการไฟฟ้ามหาศาลเพื่อรองรับการใช้งาน AI
- IEA คาดการณ์ว่าความต้องการไฟฟ้าจาก Data Center ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าภายในปี 2569 คิดเป็นปริมาณไฟฟ้ามากกว่า 1,000 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh) เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศญี่ปุ่นทั้งประเทศ
- Goldman Sachs ประเมินว่า Data Center จะผลักดันให้ความต้องการไฟฟ้าของสหรัฐฯ เติบโตขึ้น 160% - 165% ภายในปี 2573 และคาดว่าพลังงานนิวเคลียร์จะคิดเป็น 60% ของพลังงานใหม่ที่ต้องสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการนี้
2.นโยบายภาครัฐในโลกตะวันตกที่สนับสนุนอย่างจริงจัง
- สหรัฐอเมริกา: ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต 4 เท่าภายในปี 2593 โดยมีกฎหมายสำคัญอย่าง Inflation Reduction Act (IRA) ที่ให้เงินอุดหนุนและเครดิตภาษีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ และ ADVANCE Act ที่ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (SMR)
- สหภาพยุโรป: EU Taxonomy ได้จัดให้นิวเคลียร์เป็นพลังงานสะอาด ปลดล็อกเงินทุน ESG มหาศาล และ European Industrial Alliance on SMRs ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเร่งการติดตั้งใช้งาน SMR ทั่วยุโรป โดยมีโปแลนด์และสหราชอาณาจักรเป็นผู้นำ
- Microsoft: ร่วมมือกับ Constellation Energy (CEG) เพื่อจ่ายไฟให้ Data Center และกำลังเจรจาเพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้า Three Mile Island
- Amazon: ทำข้อตกลงซื้อพลังงานนิวเคลียร์จาก Talen Energy และลงทุนโดยตรงในบริษัทพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (SMR) อย่าง X-Energy
- Google: สั่งซื้อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (SMR) จาก Kairos Power 50 MW เพื่อหนุน Data Center
6 เหตุผลสำคัญที่ "พลังงานนิวเคลียร์" จะพลิกโฉมโลกพลังงาน
1.ความต้องการพลังงานของ AI และ Data Center
พลังงานนิวเคลียร์คือหัวใจสำคัญที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอตลอด 24/7 เพื่อหล่อเลี้ยง Data Center และ AI ซึ่งเป็นโครงสร้างของเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ต้องการพลังงานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
2.เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero
เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าแบบไร้คาร์บอนขนาดใหญ่ที่สุด ช่วยให้โลกบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้เร็วขึ้น โดยทำงานร่วมกับพลังงานหมุนเวียนอื่นเพื่อสร้างโครงข่ายไฟฟ้าที่มั่นคงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
3.ปลดล็อก ไฮโดรเจนสะอาด และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ความร้อนสูงจากเตาปฏิกรณ์ยุคใหม่ สามารถนำไปใช้ในกระบวนการผลิตไฮโดรเจนสีชมพู (Pink Hydrogen) และป้อนพลังงานให้ภาคอุตสาหกรรมหนัก (เช่น โรงงานเหล็ก, ปิโตรเคมี) ได้โดยตรง
4.สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ทุกประเทศ
เชื้อเพลิงยูเรเนียมเพียงเล็กน้อยสามารถผลิตไฟฟ้าได้มหาศาล ทำให้ประเทศต่างๆลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากต่างประเทศ สร้างเสถียรภาพทางพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ที่แข็งแกร่งขึ้น
5.ใช้พื้นที่น้อย แต่ให้พลังงานมหาศาล
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (SMR) หนึ่งแห่งอาจใช้พื้นที่แค่เท่าสนามฟุตบอล แต่สามารถจ่ายไฟให้เมืองขนาดกลางได้ทั้งเมือง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่มีพื้นที่จำกัด และสามารถสร้างใกล้แหล่งที่ต้องการใช้ไฟฟ้าได้โดยตรง
6.ขับเคลื่อนโดยมหาอำนาจและ Big Tech
รัฐบาลชาติตะวันตก (สหรัฐฯ, EU) และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Microsoft, Google, Amazon) ต่างทุ่มเทนโยบายและเงินลงทุนมหาศาล เพื่อผลักดันให้นิวเคลียร์เป็นพลังงานหลักในอนาคต
ขอแนะนำกองทุน LHNUKZ ลงทุนในพลังงานอนาคต เสริมพอร์ตให้พร้อมรับ AI
LH NUCLEAR ENERGY FUND (“LHNUKZ”) จาก บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทางเลือกการลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ยุคใหม่ที่ปลอดภัยกว่าเดิม รวมทั้งระบบนิเวศของพลังงานนิวเคลียร์ โดย LHNUKZ เป็นกอง Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ Range Nuclear Renaissance Index ETF (NUKZ) (“กองทุนหลัก”) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานนิวเคลียร์ทั้งหมด ตั้งแต่ผู้คิดค้นเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (SMR) บริษัทวิศวกรรมผู้ก่อสร้าง ผู้ผลิตไฟฟ้า ไปจนถึงผู้จัดหาเชื้อเพลิงชนิดพิเศษ
สถานการณ์ปัจจุบันของกองทุนหลัก Range Nuclear Renaissance Index ETF
กองทุน Range Nuclear Renaissance Index ETF (กองทุนหลักของ LHNUKZ) สร้างผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งในเดือนมกราคม 2567 ได้ถึง +144.97% (ข้อมูล ณ 18 กันยายน 2025) ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงโมเมนตัมที่แข็งแกร่งของหุ้นในระบบนิเวศพลังงานนิวเคลียร์ โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการไฟฟ้าจากภาคเทคโนโลยีและความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ
Source: Range ETF Website, as of 18 September 2025

จุดเด่นของกองทุน
1.ลงทุนครอบคลุมระบบนิเวศของพลังงานนิวเคลียร์
เข้าถึงทั้งระบบนิเวศของพลังงานนิวเคลียร์ ตั้งแต่ ผู้คิดค้นเทคโนโลยี SMR, บริษัทวิศวกรรมผู้ก่อสร้าง, ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มั่นคง, ไปจนถึงผู้จัดหาเชื้อเพลิงชนิดพิเศษ
2.คัดเลือกอย่างชาญฉลาดเพื่อจับเมกะเทรนด์
ให้น้ำหนักกับบริษัทนวัตกรรม โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (SMR) อย่างมีนัยสำคัญ พอร์ตโฟกัสที่การเติบโตของโลกตะวันตกโดยตรง ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางพลังงาน และเน้นบริษัทที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากธีม AI และ Data Center ทั้งนี้มีการคัดกรองบริษัทจากจีน/รัสเซียออก เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต
3.กลยุทธ์การลงทุน
ใช้ กลยุทธ์ Barbell ที่ผสมผสานหุ้นเทคโนโลยี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (SMR) ที่เป็นดาวรุ่ง และมีโอกาสเติบโตสูง เข้ากับหุ้นสาธารณูปโภคและผู้ผลิตเชื้อเพลิงยักษ์ใหญ่ที่มีความมั่นคง เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในระยะยาว
Top 10 holdings (as of 18 September 2025)
1.Cameco Corp (CCO) 10.33% - ผู้ผลิตยูเรเนียมรายใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตก
2.Constellation Energy (CEG) 7.99% - เจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ไร้คาร์บอนให้บริษัท Big Tech โดยได้รับความไว้วางใจจากบริษัท Meta ในสัญญาระยะยาวเพื่อป้อนไฟให้ Data Center
3.Oklo Inc (OKLO) 4.65% - เป็นบริษัทผู้บุกเบิกเทคโนโลยี Micro-reactor (Gen IV) ที่ออกแบบมาเพื่อจ่ายไฟให้ Data Center โดยตรง โดยมี Sam Altman แห่ง OpenAI เป็นประธานบอร์ดและผู้ลงทุนหลัก
4.Centrus Energy (LEU) 4.13% - ผู้ผลิตเชื้อเพลิงแห่งอนาคต HALEU (High-Assay Low-Enriched Uranium) เพียงรายเดียวในโลกตะวันตก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงจำเป็นสำหรับเตาปฏิกรณ์ยุคใหม่ และเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดการพึ่งพารัสเซีย
5.GE Vernova (GEV) 3.67% - ยักษ์ใหญ่ด้านวิศวกรรมพลังงานครบวงจร และเป็นเจ้าของเทคโนโลยี SMR รุ่น BWRX-300 ที่มีบทบาทสำคัญในโครงการสำคัญต่างๆทั่วโลก
6.NuScale Power (SMR) 2.97% - ผู้บุกเบิกเทคโนโลยี SMR และเป็นบริษัทแรกและรายเดียวที่ได้รับการรับรองการออกแบบจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ (NRC)
7.Rolls-Royce (RR.L) 2.89% - ผู้นำ SMR จากฝั่งยุโรป ยักษ์ใหญ่วิศวกรรมจากอังกฤษ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลสหราชอาณาจักร
8.ASP Isotopes (ASPI) 2.80% - ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตไอโซโทปชนิดพิเศษ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในวัฏจักรเชื้อเพลิงนิวเคลียร์และการใช้งานทางการแพทย์
9.SAMSUNG C&T CORP (028260) 2.71% - ยักษ์ใหญ่ด้านวิศวกรรมและการก่อสร้าง (EPC) จากเกาหลีใต้ และเป็นผู้ร่วมลงทุนรายสำคัญใน NuScale Power เพื่อนำเทคโนโลยี SMR ไปใช้ในโครงการจริง
10.Vistra Corp (VST) 2.68% - หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Comanche Peak และเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากความต้องการไฟฟ้ามหาศาลในเท็กซัส
Source: Range ETF Website, as of 18 Sep 2024
คำแนะนำการลงทุน
สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในการเติบโตระยะยาว
- คำแนะนำ
ทยอยสะสม - เหตุผล
ธีมพลังงานนิวเคียร์ยุคใหม่ ที่ขับเคลื่อนโดย AI และความต้องการพลังงานสะอาด เป็น Mega Trend ที่จะกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมพลังงานไปอีกหลายทศวรรษ แม้ในระยะสั้นอาจมีความผันผวนสูงจากปัจจัยมหภาคและความเสี่ยงของโครงการนำร่อง แต่สำหรับนักลงทุนที่มีมุมมอง 3-5 ปีขึ้นไป การทยอยสะสมหน่วยลงทุนในช่วงที่ตลาดย่อตัว ถือเป็นการเฉลี่ยต้นทุนเพื่อเกาะไปกับการเติบโตเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรม
- คำแนะนำ
จดสรรในสัดส่วนที่เหมาะสมและใช้กลยุทธ์ DCA (Allocate & DCA) - เหตุผล
ควรจัดสรรกองทุน LHNUKZ เป็น ส่วนเสริมพอร์ต (Satellite) ในสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก เช่น 10-20% ของพอร์ตทั้งหมด และใช้วิธี ทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (Dollar-Cost Averaging - DCA) เป็นรายเดือน เพื่อลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนผิดจังหวะและช่วยเฉลี่ยต้นทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน
Data as of September 18, 2025
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
เนื่องจากกองทุน ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ผลการดำเนินงานในอดีต ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
