LAND AND HOUSES FUND MANAGEMENT CO.,LTD

ข่าวสารและกิจกรรม

สรุปภาวะตลาด





สรุปภาวะตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา
 
ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ (DJ, S&P500, NASDAQ) ยังคงปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเก็งกำไรจากผลประกอบการหุ้นกลุ่มการเงินที่จะเริ่มประกาศในอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้อานิสงค์จาก Bond Yield ที่มีแนวโน้มแกว่งตัวลงมาจากระดับสูงสุดใน เดือน เม.ย. ที่ 1.7-1.8% มาอยู่ที่ 1.3-1.4% ในปัจจุบัน
FED ยังคงส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อหนุนการจ้างงานขึ้น พร้อมมองเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นเป็นเพียงแค่เหตุการณ์ชั่วคราว โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ยังคงปรับตัวลงจากจุดสูงสุดอย่างต่อเนื่องในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังมีข่าวว่าทางซาอุฯ และ UAE กำลังจะบรรลุข้อตกลงการเพิ่มกําลังการผลิตน้ำมัน ท่ามกลางการคาดการณ์สต็อกน้ํามันดิบสหรัฐฯ ว่าจะยังลดลงอย่างต่อเนื่อง
สํานักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงาน ยอดส่งออกเดือน มิ.ย.ของจีนพุ่งขึ้น 32.2% เมื่อเทียบเป็นรายปีซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ค่อนข้างมาก โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นทั่วโลก ส่วนยอดนําเข้าในเดือน มิ.ย. ปรับตัวสูงขึ้น 36.7% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เช่นกัน และถือเป็นการขยายตัวที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีจากฐานที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งคาดว่าจะทำให้จีนมียอดเกินดุลทางการค้าที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในปีนี้
การประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์และการเคอร์ฟิวในหลายพื้นที่เป็นเวลา 14วัน ยังคงไม่สามารถลดจํานวนผู้ติดเชื้อใหม่ภายในประเทศที่ยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่จํานวนผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในระบบที่ไต่ระดับขึ้นสู่ระดับ 9 หมื่นคนในปัจจุบันยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันระบบสาธารณสุขในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยปัญหาการส่งมอบวัคซีนและการจัดหาวัคซีนทางเลือกที่ล่าช้ายังคงทำให้อัตราการฉีดวัคซีนเฉลี่ยต่อวันในเดือนที่ผ่านมาที่ยังคงอยู่ในระดับ 2.5 แสนโดสต่อวัน 
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้ออกมาตรการพักชําระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้รายย่อยและ SME ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐเป็นระยะเวลา 2 เดือน ในขณะที่มีการเลื่อนการชำระเงินต้นออกไปเปนช่วงท้ายของสินเชื่อ โดยจะเริ่มงวดแรกเดือน ก.ค. เป็นต้นไป

ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้

 
ติดตามตัวเลขดุลการค้าของทางญี่ปุ่น ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของยุโรป และ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือทิศทางการประชุมของธนาคารกลางของสหภาพยุโรป (ECB) และแนวทางการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในอนาคต
ผลประกอบการณ์ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่จะเริ่มประกาศออกมาในอาทิตย์นี้ และ ข้อตกลงการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันที่คุยกันอยู่ซึ่งอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯในระยะสั้น 
สำหรับประเทศไทย กลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มการเงินที่จะเริ่มประกาศผลประกอบการณ์ไตรมาสสองในอาทิตย์หน้าน่าจะบ่งบอกและแสดงให้เห็นถึงมุมมองและการประมาณการณ์ของฝั่งภาคการเงินต่อระบบเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 
แนะนำจับตาทิศทางนโยบายของ ที่ประชุม ศบค.และ กระทรวงสาธารณสุข ต่อแนวทางการรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแนวทางการให้ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่มากนัก กักตัวเองที่บ้าน หรือ ในชุมชน เพื่อประคองระบบรักษาพยาบาลให้สามารถรองรับกับผู้ป่วยอาการหนักที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้น

ความเห็นผู้จัดการกองทุน



การเร่งตัวขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในประเทศ สู่ระดับเฉลี่ย 9,000 คน ต่อวัน ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ โดยเราเห็นความเสี่ยงที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อต่อวันจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าระดับจิตวิทยาเข้าสู่หลักหมื่นคน หลังจากทาง สปสช. เพิ่มจำนวนการตรวจเชิงรุกผ่าน “Rapid Anitgen Test” (ตั้งเป้าตรวจวันละ 10,000-12,000 ราย) ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยเรามองว่าการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์และการเคอร์ฟิวในพื้นที่ 10 จังหวัด ซึ่งมีสัดส่วนราว 50% ของ GDP ทั้งประเทศ จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขประมาณการณ์เศรษฐกิจ ที่อาจจะเริ่มมีการปรับลดลงในอนาคต โดยเรามองเห็นความเสี่ยงที่นักวิเคราะห์อาจมีการปรับลดคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนลงหลังจากผลประกอบการณ์ไตรมาสสองออกมา อย่างไรก็ตามเรายังมองเห็นโอกาสในการลงทุนในหุ้นบางกลุ่มที่ได้รับอานิสงค์จากการระบาดภายในประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยสัปดาห์ที่ผ่านมากองทุนภายใต้การจัดการของ LHFUND ก็ได้มีการลดสัดส่วนการลงทุน ในหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดที่ยืดเยื้อ แต่ยังคงสัดส่วนของหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะมีผลประกอบการณ์แข็งแกร่ง และ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนแนะนำยังคงเป็น กอง LHGROWTH LHSELECT และ LHMSFL เนื่องจากยังคงมองว่าหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) รวมถึงหุ้นขนาดกลางและเล็กจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าผลตอบแทนของตลาดโดยแนวรับของตลาดที่เหมาะกับการเข้าลงทุนนั้นคือช่วงระดับของ SET Index ที่ระดับ 1,500 – 1,550 จุด และแนวต้านที่ 1,600 - 1,620 จุด ?

ที่มา LHFund วันที่ 16 ก.ค. 64

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน









 




 

กรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ