สรุปภาวะตลาด
สรุปภาวะตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา
• ในการประชุมวันพุธที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2021 และ 2022 ลงมาอยู่ที่ 1.8% และ 3.9% (จาก 3.0% และ 4.7% ตามประมาณการเดิม) หลักๆมาจากการบริโภคในประเทศที่อ่อนตัวลงและการปรับลดการคาดการณ์จํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้และปีหน้าลงเหลือ 7 แสนคน และ 10 ล้านคนตามลำดับ โดยถึงแม้ว่าทาง กนง. จะคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะพลิกมาขาดดุลเล็กน้อยในปีนี้ แต่ที่ประชุมยังมองว่าสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง และ ระดับเงินเฟ้อในระยะกลางจะยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งนี้คณะกรรมการมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ตามที่เราและตลาดคาด
• ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงสู่ระดับ 31.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ที่จุดต่ำที่สุดในรอบหนึ่งปี จากภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่น่าจะใช้เวลามากกว่าที่คาด ความกังวลเรื่องสัญญาณการสิ้นสุดลงของ นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของทางสหรัฐ และ ความวิตกเรื่องศบค.อาจออกมาตรการล็อกดาวน์ กทม.รอบใหม่ และ การเร่งตัวขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในอาทิตย์ที่ผ่านมา
• ตัวเลข Export เดือน พ.ค.บวกติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม สูงสุดในรอบ 11 ปี จากฐานต่ำในปีที่แล้ว โดยปรับตัวขึ้น 41.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นำโดยสินค้าส่งออกหลักอย่างชิ้นส่วนรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเลคโทรนิค และ สินค้าเกษตร โดยตลาดส่งออกสำคัญหลักอย่าง สหรัฐ ยุโรป และ จีน มีอัตราการส่งออกเติบโตค่อนข้างมาก จากกำลังซื้อที่ทยอยฟื้นตัวตามความคืบหน้าเรื่องการฉีดวัคซีนในแต่ละประเทศ และการเริ่มทยอยกลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ
• ราคาน้ำมัน กลับมาเป็นประเด็นที่ตลาดจะให้ความสนใจอีกครั้ง จากนิวเคลียร์ดีลระหว่างประเทศอิหร่านกับ IAEA ที่คาดว่าจะกลับมาเจรจากันอีกครั้งในช่วงสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมไปถึงข่าวที่ว่า OPEC+ เตรียมพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งอาจจะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อราคาน้ำมัน จากความกังวลเรื่อง supply ในตลาดที่อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
• ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสบรรลุข้อตกลงในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 5.79 แสนล้านเหรียญ และธนาคารใหญ่ 23 แห่งของสหรัฐฯผ่านการทดสอบ Stress Test หนุนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐ
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
• สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น และ การกระจายตัวของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งส่งผลทำให้จำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยหนักในระบบเริ่มขาดแคลนมากขึ้น โดยนโยบายตรวจที่ไหนรักษาที่นั่นของกระทรวงสาธารณสุขเริ่มทำให้ ร.พ. เอกชนหลายๆแห่งทยอย งดรับตรวจโควิดในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงเรื่องขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขที่รองรับจำนวนผู้ป่วยที่มีอัตราเร่งตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ขีดจำกัด และอาจกระทบกับมาตรการผ่อนคลาย Lockdown ในพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จํานวน 53 จังหวัดที่มีการประกาศไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
• สถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง และ การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงอาทิตย์ที่แล้ว อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางทางการเมืองและรูปแบบการเลือกตั้งในอนาคตถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับตลาดทุนได้ในระยะสั้น
• รมว.คลัง ได้มีการเรียกผู้บริหารธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ทุกแห่งเข้าหารือ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพื่อสั่งการให้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งประชาชนรายย่อยและผู้ประกอบการ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในปี 2564 และให้เสนอแผนกลับมาให้กระทรวงการคลังพิจารณาภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยเบื้องต้นทุกธนาคารเห็นตรงกันว่าจะมีการพักชำระหนี้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบไปจนสิ้นปี 2564 จากปัจจุบันที่แต่ละธนาคารช่วงเวลาพักหนี้ไม่เท่ากัน และมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ก็จะทำเป็นมาตรการแพ็คเกจเดียว นอกจากนี้ ยังมีธนาคารของรัฐแห่งหนึ่งได้เสนอแผนช่วยเหลือลูกหนี้ เป็นกรณีพิเศษ จากเดิม ที่พักเงินต้น และจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ หรือบางส่วน เป็นการพักชำระเงินต้น และลดดอกเบี้ยเหลือ 0% หรือ คิดแค่ 0.01% ต่อปีเท่านั้น คาดว่าจะมีผลเร็วๆ นี้ ไปจนถึงสิ้นปี โดยจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด
ความเห็นผู้จัดการกองทุน
เราคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ การเปลี่ยนแปลงของนโยบายทางการเงินของสหรัฐ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นก่อนประเทศอื่นๆ จะกดดันให้ค่าเงินบาทแกว่งตัวอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลบวกให้กับภาคการส่งออกและบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศค่อนข้างเยอะ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมากองทุนภายใต้การจัดการของ LHFUND ก็ได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าว เช่น กลุ่มอิเลกทรอนิกส์ กลุ่มเกษตรและอาหาร และ ได้มีการลดสัดส่วน กลุ่มพลังงาน และ โรงไฟฟ้า ที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากการขาดทุนค่าเงินและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการกู้ยืมเงินในต่างประเทศ
ถึงแม้เราจะคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดทั้งปีนี้โดยยังคงความสําคัญกับการกระจายสภาพคล่องให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสรอบใหม่ ซึ่งไปรวมถึงมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูฯ และโครงการพักทรัพย์พักหนี้ จะช่วยประคองผู้ประกอบการณ์รายย่อยในระยะสั้น อย่างไรก็ตามเรามองว่าการที่กระทรวงสาธารณสุขตรียมยกระดับโรงพยาบาลสนามใน กทม.ให้รองรับผู้ป่วยอาการสีเหลืองได้ เพื่อให้จำนวนเตียงในโรงพยาบาลหลักสามารถดูแลผู้ป่วยหนักได้มากขึ้น เป็นสัญญาณเชิงลบต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่อาจแย่และยืดเยื้อกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งอาจสร้างผลกระทบเชิงลบให้กับหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยกองทุนแนะนำได้แก่ กอง LHGROWTH LHSELECT และ LHMSFL เนื่องจากยังคงมองว่าหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดให้มีกิจกรรมมากขึ้นจากการคลายล้อกดาวน์ รวมถึงหุ้นขนาดกลางและเล็กจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าผลตอบแทนของตลาด
โดยแนวรับของตลาดที่เหมาะกับการเข้าลงทุนนั้นคือช่วงระดับของ SET Index ที่ระดับ 1,585 – 1,570 จุด และแนวต้านที่ 1,620 - 1,640 จุด
ที่มา LHFund วันที่ 25 มิ.ย. 64
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ความเห็นผู้จัดการกองทุน
เราคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ การเปลี่ยนแปลงของนโยบายทางการเงินของสหรัฐ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นก่อนประเทศอื่นๆ จะกดดันให้ค่าเงินบาทแกว่งตัวอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลบวกให้กับภาคการส่งออกและบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศค่อนข้างเยอะ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมากองทุนภายใต้การจัดการของ LHFUND ก็ได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าว เช่น กลุ่มอิเลกทรอนิกส์ กลุ่มเกษตรและอาหาร และ ได้มีการลดสัดส่วน กลุ่มพลังงาน และ โรงไฟฟ้า ที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากการขาดทุนค่าเงินและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการกู้ยืมเงินในต่างประเทศ
ถึงแม้เราจะคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดทั้งปีนี้โดยยังคงความสําคัญกับการกระจายสภาพคล่องให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสรอบใหม่ ซึ่งไปรวมถึงมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูฯ และโครงการพักทรัพย์พักหนี้ จะช่วยประคองผู้ประกอบการณ์รายย่อยในระยะสั้น อย่างไรก็ตามเรามองว่าการที่กระทรวงสาธารณสุขตรียมยกระดับโรงพยาบาลสนามใน กทม.ให้รองรับผู้ป่วยอาการสีเหลืองได้ เพื่อให้จำนวนเตียงในโรงพยาบาลหลักสามารถดูแลผู้ป่วยหนักได้มากขึ้น เป็นสัญญาณเชิงลบต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่อาจแย่และยืดเยื้อกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งอาจสร้างผลกระทบเชิงลบให้กับหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยกองทุนแนะนำได้แก่ กอง LHGROWTH LHSELECT และ LHMSFL เนื่องจากยังคงมองว่าหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดให้มีกิจกรรมมากขึ้นจากการคลายล้อกดาวน์ รวมถึงหุ้นขนาดกลางและเล็กจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าผลตอบแทนของตลาด
โดยแนวรับของตลาดที่เหมาะกับการเข้าลงทุนนั้นคือช่วงระดับของ SET Index ที่ระดับ 1,585 – 1,570 จุด และแนวต้านที่ 1,620 - 1,640 จุด
ที่มา LHFund วันที่ 25 มิ.ย. 64
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน