สรุปภาวะตลาด
สรุปภาวะตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา
• สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะนำเข้าการพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป
• ดัชนีความเชื่อมั่นผูบริโภคเดือน พ.ค. ลดลงต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ 44.4 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 22 ปี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิท-19 ครั้งล่าสุดเป็นหลัก และปัจจุบันยังคงไม่สามารถที่จะสามารถผ่อนคลายมาตรการล้อกดาวน์ได้
• อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรทั่วโลกปรับตัวลงตามแนวโน้มที่ลดลงของสหรัฐจากการคาดการณ์ถึงแนวโน้มของเงินเฟ้อที่ลดลงรวมถึงแนวโน้มของการกลับมาปรับเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางที่จะยังไม่มีแนวโน้มในเร็วนี้ ซึ่งทำให้ระดับ Valuation ของตลาดมีความน่าสนใจมากขึ้น
• อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ของสหรัฐ เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 0.6% MoM ต่อเนื่องจาก 0.8% ในเดือนก่อน และสูง กว่าที่ตลาดคาดที่ 0.5% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลจากการ Reopening หลังจากที่ได้ทยอยฉีดวัคซีนทั่วประเทศในระดับที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบปรกติ ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยกลับมาฟื้นตัวได้ดี
• ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเดิมตามการคาดการณ์ของตลาด โดยคงการเข้าซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ที่วงเงินการเข้าซื้อ EUR1,850bn จนถึงเดือน มี.ค. 2022 เป็นอย่างน้อย และจนกว่าจะมั่นใจว่าวิกฤต COVID-19 ได้สิ้นสุดแล้ว และจะยังคงเพิ่มสภาพคล่องในระบบผ่านโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยเฉพาะ TLTRO-3 ที่จะดำเนินการจนถึงเดือน มิ.ย. 2022
• ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีนขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 ปี จากผลของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด
• EIA ออกรายงานเดือน ก.ค. ที่ยังคงคาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้ใกล้เคียงระดับเดิมจากรายงานเดือนก่อนหน้าที่ +5.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันของปีหน้าลง 1 แสนบาร์เรลต่อวันมาอยู่ที่ +3.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 101.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะเดียวกัน EIA ก็ยังคงคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันเบนซิน (Gasoline Demand) ในช่วง Driving Season ไว้ที่ระดับเดิมจากรายงานเดือนก่อนหน้าเช่นกันที่ +1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า สะท้อนการจ้างงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้คาดว่าระดับราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่อาจจะผันผวนได้จากการเจรจาระหว่างสหรัฐกับอิหร่านเรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่อาจจะส่งผลต่อปริมาณการผลิตน้ำมันของอิหร่านให้เพิ่มขึ้นได้
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
• ติดตามการลงมติเห็นขอบของ ส.ว. ในส่วนของ พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบแล้ว จะทำให้ พ.ร.ก.ฯ ฉบับนี้ มีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ที่มีการประกาศในราชกิจจาฯ ในวันที่ 25 พ.ค. เป็นต้นมา โดยในเบื้องต้น รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเริ่มอัดฉีดเงินจาก พ.ร.ก.ฯ ฉบับใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในไตรมาสสี่ปีนี้ รวมถึงรายละเอียดของมาตรการต่างๆ ของพรก.เงินกู้ฉบับนี้ว่าจะใช้อย่างไรและส่วนใดบ้าง
• ตารางหรือกำหนดการของวัคซีนที่จะกระจายที่ตาม Timeline ที่ภาครัฐให้ไว้ช่วงก่อนหน้านี้ที่จะเริ่มทยอยฉีดได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ตามกำหนดการดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นไปตามกำหนดการดังกล่าวก็จะเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและค่าปลีก ที่คาดว่าภาครัฐจะเริ่มทยอยคลายล้อกดาวน์ได้ในเดือนกรกฏาคม – สิงหาคมนี้ และอาจจะเปิดประเทศได้ในช่วงต้นปี 2022
• ปัจจัยการเมืองในประเทศที่เริ่มมีข่าวหรือกระแสข่าวเรื่องการยุบสภา ซึ่งอาจจะต้องติดตามการเปิดสมัยการประชุมสภาว่าหลังจากจบสมัยการประชุมแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลหรือมีการยุบสภาหรือไม่
• การประชุม FOMC ซึ่งคาดว่า Fed จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากต่อไปในการประชุมรอบนี้ และยังย้ำการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่อัตรา USD120bn/เดือน นอกจากนี้ คาด Fed จะยังระบุว่าการส่งสัญญาณ QE Taper ยังเร็วเกินไปสำหรับการประชุมรอบนี้ โดยการประชุมรอบนี้ สิ่งที่ต้องติดตามคือ Dot plot ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันที่ชี้ว่าดอกเบี้ยจะคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน (0-0.25%) ตลอดจนสิ้นปี 2023 รวมทั้งคาดการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
ความเห็นผู้จัดการกองทุน
จากแนวโน้มของการที่หลายประเทศเริ่มวางแผนหรือดำเนินมาตรการ Reopening หรือเปิดเมืองให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นหลังจากที่เริ่มทยอยฉีดวัคซีน ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งทำให้เห็นการหมุนเปลี่ยนของหุ้นมาเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการ Reopening ดังกล่าว ซึ่ง LHFUND ก็ได้มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวบ้างแล้วและได้เริ่มทยอยเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น ตามที่เคยได้ให้ข้อมูลไปในสัปดาห์ที่แล้ว และยังคงมองว่าหุ้นกลุ่ม Reopening และ Growth จะยังคงเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด และกองทุนที่แนะนำยังคงเห็นว่า LHGROWTH และ LHSELECT รวมถึงกองทุนประเภทลดหย่อนภาษีได้แก่ LHSMARTDSSF ยังคงเหมาะสมกับการลงทุนในช่วงนี้อยู่เนื่องจากมีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ รวมถึงได้มีการเพิ่มหุ้นในกลุ่ม Reopening เข้าไปเพื่อให้สอดคล้องกับมุมมองที่ดีขึ้นของหุ้นกลุ่มนี้จากการเริ่มฉีดวัคซีนของไทย อย่างไรก็ตามนักลงทุนสามารถเข้าลงทุนบางส่วนในกอง LHMSFL ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กเนื่องจากยังคงคาดว่าการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กจะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ได้ต่อเนื่องดังจะเห็นได้จาก sSET ที่ปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (วันที่ 11 มิย. 2564) ถึงร้อยละ 47.7 และผลตอบแทนของเดือนมิย.จนถึงปัจจุบัน (MTD) ที่ร้อยละ 4.3
โดยแนวรับของตลาดที่เหมาะกับการเข้าลงทุนนั้นคือช่วงระดับของ SET Index ที่ระดับ 1,600 – 1,580 จุด ส่วนผู้ที่มีการลงทุนในหุ้นอยู่แล้วให้ถือต่อไปได้หรืออาจจะทยอยขายทำกำไรบางส่วนที่ระดับ 1,640 – 1,650 จุด ได้
ที่มา LHFund วันที่ 14 มิ.ย. 64ความเห็นผู้จัดการกองทุน
จากแนวโน้มของการที่หลายประเทศเริ่มวางแผนหรือดำเนินมาตรการ Reopening หรือเปิดเมืองให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นหลังจากที่เริ่มทยอยฉีดวัคซีน ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งทำให้เห็นการหมุนเปลี่ยนของหุ้นมาเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการ Reopening ดังกล่าว ซึ่ง LHFUND ก็ได้มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวบ้างแล้วและได้เริ่มทยอยเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น ตามที่เคยได้ให้ข้อมูลไปในสัปดาห์ที่แล้ว และยังคงมองว่าหุ้นกลุ่ม Reopening และ Growth จะยังคงเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด และกองทุนที่แนะนำยังคงเห็นว่า LHGROWTH และ LHSELECT รวมถึงกองทุนประเภทลดหย่อนภาษีได้แก่ LHSMARTDSSF ยังคงเหมาะสมกับการลงทุนในช่วงนี้อยู่เนื่องจากมีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ รวมถึงได้มีการเพิ่มหุ้นในกลุ่ม Reopening เข้าไปเพื่อให้สอดคล้องกับมุมมองที่ดีขึ้นของหุ้นกลุ่มนี้จากการเริ่มฉีดวัคซีนของไทย อย่างไรก็ตามนักลงทุนสามารถเข้าลงทุนบางส่วนในกอง LHMSFL ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กเนื่องจากยังคงคาดว่าการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กจะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ได้ต่อเนื่องดังจะเห็นได้จาก sSET ที่ปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (วันที่ 11 มิย. 2564) ถึงร้อยละ 47.7 และผลตอบแทนของเดือนมิย.จนถึงปัจจุบัน (MTD) ที่ร้อยละ 4.3
โดยแนวรับของตลาดที่เหมาะกับการเข้าลงทุนนั้นคือช่วงระดับของ SET Index ที่ระดับ 1,600 – 1,580 จุด ส่วนผู้ที่มีการลงทุนในหุ้นอยู่แล้วให้ถือต่อไปได้หรืออาจจะทยอยขายทำกำไรบางส่วนที่ระดับ 1,640 – 1,650 จุด ได้
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน