สรุปภาวะตลาด
สรุปภาวะตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา
• สศช. เตรียมเสนอให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติการแจกเงินเพิ่มเติมในโครงการเราชนะ และโครงการ ม.33 เรารักกัน โดยจะมีเสนอให้เพิ่มเงินคนละ 2,000 บาท ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการเราชนะ จำนวน 32.9 ล้านคน และโครงการ ม.33 เรารักกัน จำนวน 9.27 ล้านคน โดยใช้งบประมาณรวม 85,500 ล้านบาท โดยจะแบ่งจ่ายเงินเป็น 2 งวดงวดละ 1,000 บาท ในวันที่ 20/21/24 พ.ค. และวันที่ 27/28/31 พ.ค. (วันที่โอนเงินขึ้นกับประเภทที่ลงทะเบียน) โดยสามารถนำไปใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2021 (จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 31 พ.ค. นี้)
• ศบค.ประกาศให้ร้านอาหารในพื้นที่สีแดงเข้มสามารถให้เข้ารับประทานในร้านได้แต่ไม่เกินร้อยละ 25 ของความจุของร้าน
• การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน เม.ย. ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 2.66 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดอย่างมากที่ 1 ล้านตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.1% สะท้อนการฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
• ยอดส่งออกเดือน เม.ย. ของจีนขยายตัวดีกว่าที่ตลาดคาดอย่างมาก จากแรงหนุนของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 และสินค้ากลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย
• สำนักข่าว Bloomberg รายงานท่อส่งน้ำมัน Colonial ถูกปิดดำเนินการอย่างกระทันหัน หลังจากถูก Hacker ไม่ทราบฝ่าย โจมตีด้วยแรนซัมแวร์ (Ransomware) และเรียกค่าไถ่
• US PPI (Apr): 0.6% MoM ( vs. 1.0% prev and 0.3% cons)
• US PPI (Apr): 6.2% YoY ( vs. 4.2% prev and 5.8% cons)
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
ความเห็นผู้จัดการกองทุน
ถึงแม้ว่าจะมีการปรับตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนำมาซึ่งความกังวลในเรื่องของมาตรการ Tapering ของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งอาจจะทำให้สภาพคล่องลดน้อยลง แต่ด้วยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและทำให้ราคาสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้น จึงเห็นว่ายังนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนรวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับตลาดอาจจะมีการปรับเพิ่มประมาณการผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ที่ดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มของการฉีดวัคซีนที่ดีขึ้น จึงเห็นว่าการปรับตัวลงมาของ SET Index นี้จะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อโดยเฉพาะในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value Stock)และหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) จึงแนะนำให้เข้าซื้อ LHGROWTH และ LHSELECT รวมถึงกองทุนประเภทลดหย่อนภาษี ได้แก่ LHSMARTDSSF แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลักคือเรื่องของการแพร่ระบาดที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ดีพอที่จะเปิดให้มีกิจกรรมกลับมาตามปรกติได้อาจจะส่งผลต่อตัวเศรษฐกิจได้โดยเฉพาะการบริโภคซึ่งอาจจะส่งผลต่อตลาดหุ้นได้จึงแนะนำให้ลงทุนเพียงบางส่วนเพื่อรอดูปัจจัยดังกล่าวว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือไม่
ที่มา LHFund วันที่ 17 พ.ค. 64
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
• GDP ไตรมาส 1 ของไทยที่จะประกาศในวันที่ 17 พ.ค. ซึ่งคาดจะหดตัวที่ -4.8% YoY (vs. -4.2% ใน 4Q20) จากผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ระลอกสองที่นำไปสู่การ Lockdown ในเดือน ม.ค. และตัวเลขการส่งออกของกรมศุลกากรที่จะประกาศในวันที่ 21 พ.ค.
• ตัวเลขของผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ยังคงไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง อีกทั้งยังคงมีพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก (คลัสเตอร์) เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งการขยายระยะเวลาล้อกดาวน์ต่อไปอีกโดยเฉพาะพื้นที่สีแดงเข้ม
• การนำเข้าและแจกจ่ายวัคซีนเพื่อฉีดในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงก่อนแล้วต่อไปยังบุคคลทั่วไปซึ่งถ้าได้วัคซีนมาเร็วกว่า Timeline เดิม รวมถึงสามารถกระจายวัคซีนและฉีดได้ในอัตราต่อวันที่ดีและสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ภายในปีนี้ จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
• ททท. เปิดจองใช้สิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ได้ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. หลังเพิ่มจำนวนสิทธิให้ส่วนลดห้องพักอีก 2 ล้านสิทธิ (คืน) ใหม่ จากเดิม 6 ล้านสิทธิที่มีการใช้สิทธิครบไปแล้ว
• รฟท. เปิดให้เอกชนประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สำหรับสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กำหนดยื่นเอกสารประกวดราคาในวันที่ 18 พ.ค. ขณะที่สายบ้านไผ่-นครพนม กำหนดยื่นเอกสารประกวดราคาในวันที่ 25 พ.ค. โดยทั้งสองสายคาดว่าจะสามารถประกาศผู้ชนะได้ในเดือน ก.ค.
• ความชัดเจนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวของปธน. Joe Biden ทั้งก้อนแรกและก้อนที่สองที่คาดว่าจะพิจารณาอนุมัติในเดือนพ.ค. นี้ โดยมีวงเงินรวมกันกว่า USD4.0trn โดยก้อนแรกเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิต และการทำวิจัย ซึ่งจะใช้งบประมาณจากการขึ้นภาษีกับภาคธุรกิจ ส่วนก้อนที่สองเน้นการเข้าถึงการศึกษาและการดูแลบุตร ซึ่งจะใช้งบประมาณจากการขึ้นภาษีกับผู้มีรายได้สูง โดยวงเงินและรายละเอียดของมาตรการสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งต้องรอดูข้อเสนอของทางสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ที่คาดจะมีความชัดเจนมากขึ้นในเดือนนี้
ความเห็นผู้จัดการกองทุน
ถึงแม้ว่าจะมีการปรับตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนำมาซึ่งความกังวลในเรื่องของมาตรการ Tapering ของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งอาจจะทำให้สภาพคล่องลดน้อยลง แต่ด้วยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและทำให้ราคาสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้น จึงเห็นว่ายังนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนรวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับตลาดอาจจะมีการปรับเพิ่มประมาณการผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ที่ดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มของการฉีดวัคซีนที่ดีขึ้น จึงเห็นว่าการปรับตัวลงมาของ SET Index นี้จะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อโดยเฉพาะในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value Stock)และหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) จึงแนะนำให้เข้าซื้อ LHGROWTH และ LHSELECT รวมถึงกองทุนประเภทลดหย่อนภาษี ได้แก่ LHSMARTDSSF แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลักคือเรื่องของการแพร่ระบาดที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ดีพอที่จะเปิดให้มีกิจกรรมกลับมาตามปรกติได้อาจจะส่งผลต่อตัวเศรษฐกิจได้โดยเฉพาะการบริโภคซึ่งอาจจะส่งผลต่อตลาดหุ้นได้จึงแนะนำให้ลงทุนเพียงบางส่วนเพื่อรอดูปัจจัยดังกล่าวว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือไม่
ที่มา LHFund วันที่ 17 พ.ค. 64
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน