สรุปภาวะตลาด

สรุปภาพรวมการลงทุนในเดือนที่ผ่านมา
ผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนพ.ย. ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) บวก +0.19 % โดยเป็นการปรับตัวแบบผสมผสานภูมิภาคทั่วโลก สหรัฐฯ: ดัชนี S&P500 ปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงที่ -0.04%, ดัชนี Nasdaq -1.97% และ Dow Jones + 0.80%, เอเชีย: Nikkei 225 ของญี่ปุ่น -2.41%, CSI 300 ของจีนแผ่นดินใหญ่ -2.72%, Hang Seng ของฮ่องกง -1.14%, TAIEX ของไต้หวัน -2.50% SET Index ของไทย -3.11% ขณะที่ในทางตรงกันข้าม Nifty 50 ของอินเดียเพิ่มขึ้น +1.71%, ยุโรป: Euro Stoxx 600 +0.73%, VN Index ของเวียดนามปิดบวก +4.58%
โดยรวมแล้วเดือน พ.ย. เป็นเดือนที่ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนหนัก จากความกังวลว่ามูลค่าหุ้นกลุ่ม AI ตึงตัวเกินไป (stretched valuations) ส่งผลให้ตลาดสลับระหว่างจังหวะรีบาวด์กับแรงขาย afresh อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินยิ่งเพิ่มแรงเหวี่ยงให้ตลาด อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน บรรยากาศการลงทุนเริ่มฟื้นตัว หลังความคาดหวังว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุม 9–10 ธ.ค. หนุนให้ sentiment ตลาดโลกเป็นบวกอีกครั้ง
ตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ในเดือนพ.ย. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวหลังจากปรับขึ้นต่อเนื่องหลายเดือน โดย Nasdaq ปรับลง -1.97% MoM ยุติสถิติขึ้นต่อเนื่อง 7 เดือน ขณะที่ S&P 500 แทบไม่เปลี่ยนแปลง (-0.04%) และ Dow Jones ยังคงบวกเล็กน้อย (+0.80%) ทำสถิติขึ้นยาว 7 เดือนติดต่อกัน สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือนธ.ค. จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ประกอบกับความกังวลด้าน Valuation ของหุ้นกลุ่ม AI ที่เริ่มก่อตัวกว้างขึ้น ซึ่งนำไปสู่แรงขายทำกำไรและการปรับฐานช่วงปลายเดือนต.ค. ถึง พ.ย. อย่างไรก็ดี บรรยากาศเริ่มกลับมาดีขึ้น หลังประธาน Fed สาขานิวยอร์กส่งสัญญาณเมื่อ 23 พ.ย. ว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ Fed Fund Futures เพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยเป็นระดับ 87% และกระตุ้นให้ตลาดรีบาวด์แรง โดยในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน S&P 500 และ Nasdaq ต่างดีดขึ้นราว +4%
ด้านปัจจัยพื้นฐาน ฤดูกาลประกาศงบไตรมาส 3 ที่สิ้นสุดในเดือน พ.ย. ตอกย้ำว่ากำไรของบริษัทสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดย 81% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 รายงานกำไรดีกว่าคาด ขณะที่กำไรโดยรวมโต +13% YoY หนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น +7% และอัตรากำไรที่ขยายตัวเพิ่มอีก +6% โดยกลุ่มเทคโนโลยีโดดเด่นที่สุดในการผลักดันกำไร
นอกจากนี้ Consensus ยังปรับเพิ่มคาดการณ์ EPS ของกลุ่ม Magnificent Seven อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาด EPS ปี 2025 โต มากกว่า +22% (จากเดิมราว +15% เมื่อ 7 เดือนก่อน) และคาด EPS ปี 2026 โต ราว +22.5% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของบริษัทอื่นในตลาดที่เฉลี่ยเพียง +11% สะท้อนความเชื่อมั่นว่ากลุ่มผู้นำเทคโนโลยียังเป็น engine หลักของกำไรตลาดในปีหน้าและปีถัดไป
ตลาดหุ้นยุโรป
ดัชนี STOXX 600 ปิดเดือน พ.ย. 2025 ที่ +0.73% โดย ยุโรป (ex-UK) ยังได้แรงหนุนจากกำไรแข็งแกร่งในกลุ่มการเงิน และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) แม้กลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะยานยนต์ (Auto) จะทำผลงานต่ำกว่าคาดก็ตาม ขณะที่โครงสร้างตลาดที่พึ่งพา Tech น้อยกว่าสหรัฐฯ ช่วยให้ตลาดยุโรปสามารถ outperform สหรัฐฯ เล็กน้อยในเดือนแห่งความผันผวนที่ผ่านมา ส่วนตลาดสหราชอาณาจักรปรับขึ้นเพียง +0.4% ถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรในหุ้นอุตสาหกรรม และ sentiment ที่อ่อนลงในกลุ่มผู้บริโภคทำให้การฟื้นตัวยังคงจำกัด
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นยุโรปในระยะข้างหน้าขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก เพราะกระแสเงินลงทุนในยุโรปเคลื่อนไหวตาม economic sentiment อย่างชัดเจน ช่วงไตรมาส 1–3 ที่เศรษฐกิจชะลอ กระแสเงินก็อ่อนแรงตามไปด้วย อย่างไรก็ดีมุมมองล่าสุดเริ่มเป็นบวกมากขึ้น โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรบริษัทยุโรปปี 2025 เป็น +1% และ 2026 เป็น +5% (จากเดิม 0% และ +4%) ได้แรงหนุนจากแผนเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐของเยอรมนีในปี 2026 เศรษฐกิจสเปนที่ยังแข็งแรง ความเสี่ยงทางการเมืองในฝรั่งเศสลดลง และผลสำรวจ EIB ระบุว่าบริษัทใน EU กำลังเร่งลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะ AI ซึ่งแนวโน้มจะต่อเนื่องถึงปี 2026 และช่วยยกระดับผลิตภาพในระยะยาว โดยรวมแล้วปัจจัยเหล่านี้อาจช่วยหนุน sentiment และเพิ่มโอกาสให้เงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นยุโรปมากขึ้น
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ดัชนี Nikkei -2.41% MoM ขณะที่ Topix +2.06% MoM ใน พ.ย. 2025 แม้การแกว่งตัวระยะสั้น แต่ตลาดญี่ปุ่นยังอยู่ในภาวะ ‘Structural Bull’ ชัดเจน โดยได้แรงหนุนจากกำไรบริษัทที่แข็งแกร่ง ผลประกอบการไตรมาส 2 FY3/26 (เม.ย.–ก.ย. 2025) ที่พบว่า 71% ของบริษัทออกมาดีกว่าคาดหรือใกล้เคียงคาด และกำไรรวมเติบโต +10% YoY สะท้อนการฟื้นตัวของอัตรากำไรในหลาย Sector สำคัญ ทั้ง Industrials Autos Tech Hardware และ Financials ความแข็งแรงของกำไรดังกล่าวส่งผลให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการ EPS FY3/26–FY3/27 ขึ้นต่อเนื่อง โดยได้รับแรงเสริมจาก earnings momentum และผลบวกจากเงินเยนอ่อน ซึ่งช่วยภาคส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โมเมนตัมตลาดญี่ปุ่นยังเป็นบวกตลอดปี 2025
ด้านโครงสร้างตลาดยังคงได้แรงหนุนจากการปฏิรูปธรรมาภิบาลที่ผลักดันให้บริษัทเพิ่มการซื้อหุ้นคืนและจ่ายปันผล ขณะที่ TOPIX ซื้อขายที่ Forward P/E ราว 14–15 เท่า ต่ำกว่า S&P500 และใกล้ค่าเฉลี่ยระยะยาว ทำให้ญี่ปุ่นยังโดดเด่นเชิงมูลค่า อีกทั้งกระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงสำคัญอยู่ที่โอกาสที่ BOJ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่เร่งตัว ซึ่งได้กระตุ้นแรงขายพันธบัตรระยะยาวและดัน Yield ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งอาจกดดันเงินเยนให้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น กระทั่งกดดันหุ้นส่งออกอย่าง Autos และ Electronics และส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นจนอาจบีบอัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนในวงกว้าง
ตลาดหุ้นจีน
ภาพรวมเดือน พ.ย. ตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ติดลบ -2.72% MoM ขณะที่ Hang Seng ฮ่องกง-1.14% MoM หลัก ๆ ถูกกดดันจากแรงขายในหุ้นเซมิคอนดักเตอร์และ Tech Chain ที่รายงานกำไรออกมาอ่อนกว่าคาด สะท้อนว่าภาคส่งออกสินค้าเทคโนโลยีของจีนยังเผชิญทั้งความผันผวนด้านดีมานด์และแรงกดดันด้าน margin ท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงขึ้น ด้านเศรษฐกิจภาพใหญ่เริ่มส่งสัญญาณชะลอลง ทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการ โดย non-manufacturing PMI ร่วงลงต่ำกว่า 50 เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี และ composite PMI ลงมาที่ 49.7 บ่งชี้ว่ากิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มหดตัว ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นจุดเสี่ยงเชิงระบบหลัก กรณีผู้พัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ประกาศเลื่อนชำระหนี้ยิ่งตอกย้ำปัญหา balance sheet และกดความเชื่อมั่นทั้งในกลุ่มหุ้นอสังหาและตราสารหนี้เอกชนจีน ซึ่งอาจลุกลามมากระทบ sentiment ตลอดทั้งตลาด
ตลาดหุ้นไต้หวัน
ดัชนี TAIEX ของไต้หวันในเดือน พ.ย. 2025 ปรับตัวลง -2.50% MoM ภาพรวมตลาดหุ้นไต้หวันยังคงแข็งแกร่ง โดยผลประกอบการไตรมาส 3/2025 มีกำไรเติบโต +17% YoY และ +46% QoQ ขณะที่ บริษัทกว่า 41% รายงานกำไรดีกว่าคาด และได้รับแรงหนุนหลักจากบริษัทขนาดใหญ่และอัตรากำไรที่แข็งแรงของกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ ตลาดยังได้อานิสงส์จากบทบาทสำคัญของไต้หวันในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก ส่งผลให้ดัชนี TAIEX เคลื่อนไหวในทิศทางบวกต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเม.ย. แม้จะมีความผันผวนระหว่างทางในเดือนพ.ย. ดังที่กล่าวไปแล้วขั้นต้นก็ตาม
ด้านมูลค่า (Valuation) ตลาดซื้อขายที่ระดับ Forward P/E ราว 17 เท่า (+1.1 S.D.) ซึ่งยังสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของกำไร ขณะที่ Consensus มีการปรับประมาณการ EPS ปี 2026 เพิ่มเล็กน้อย +0.2% จากแรงหนุนของกลุ่มขนส่ง การเงิน และเซมิคอนดักเตอร์ ขณะเดียวกัน Goldman Sachs คาดว่า EPS ของไต้หวันในปี 2025–2026 จะเติบโตในระดับสองหลักที่ 19% และ 20% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค MSCI Asia ex Japan ที่ 9% และ 17% ตามลำดับ สะท้อนศักยภาพการเติบโตเชิงโครงสร้างที่โดดเด่นและเหนือกว่าตลาดส่วนอื่นในเอเชียอย่างชัดเจน
ตลาดหุ้นอินเดีย
ตลาดอินเดียโดดเด่นกว่าภูมิภาคในเดือน พ.ย. โดยปรับขึ้น +1.9% MoM ได้แรงหนุนจากน้ำหนักหุ้นเทคที่ต่ำกว่าเงินเฟ้อแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และความคาดหวังว่า RBI อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ดัชนี NIFTY ทำ All-time High ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน และบวกต่อ +0.5% WoW นำโดยกลุ่ม Pharma และ PSU Banks ที่ปรับขึ้นราว +2% กระแสเงินทุนต่างชาติ (FII) กลับมาเป็นบวกอีกรอบที่ 300–400 mnUSD ตามความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่า Fed ใกล้ลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าและยีลด์พันธบัตรสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย
ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของอินเดียยังแข็งแรงมาก Consensus ปรับเพิ่มคาดการณ์ EPS Growth ปี 2025–26 อยู่ที่ +14–15% YoY Credit growth สูงต่อเนื่องที่ ~15% YoY ภาค IT เริ่มเห็นคำสั่งซื้อฟื้น และโครงการลงทุนภาครัฐ–เอกชนเดินหน้าเร็วขึ้น เศรษฐกิจจริงก็ยังแข็งแกร่งสะท้อนจาก GDP Q3 โต 7.6% YoY PMI Services >55 และเงินเฟ้อชะลอลงสู่ 4.9% YoY โดยรวม อินเดียยังเป็นตลาดที่มี momentum แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย จากทั้งกำไรบริษัทที่โตดี กระแสเงินทุนสนับสนุน และเศรษฐกิจที่ resilient อย่างต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นเวียดนาม
ตลาดหุ้นเวียดนามในเดือนพ.ย. 2025 ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดย VN-Index ปรับขึ้น +4.58% MoM ท่ามกลางโมเมนตัม บวกที่เริ่มเสถียรขึ้น แม้ยังมีความผันผวนเป็นช่วงๆ จุดสำคัญคือดัชนีสามารถทะลุแนวต้าน 1,700 จุดได้เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. สะท้อนแรงซื้อกลับที่ชัดเจนจากสภาพคล่องในตลาดที่ดีขึ้นและแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มชะลอลง ด้าน Valuation VN-Index ยังอยู่ในระดับที่ไม่ตึงตัว โดย P/E ปัจจุบันราว 16 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17 เท่า ขณะที่ แนวโน้มกำไรยังแข็งแรง ทั้ง 4Q25 และปี 2026 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องหนุนจากสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยัง resilient และความน่าสนใจของประเทศในฐานะหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย
ปัจจัยเชิงโครงสร้างทั้งแรงซื้อจากเงินทุนต่างชาติที่คาดว่าจะไหลกลับมากขึ้น ความคืบหน้าในการเร่งพัฒนาเกณฑ์ตลาดทุนเพื่อให้เวียดนามเข้าสู่ดัชนี MSCI Emerging Markets ภายในปี 2030 (ตามคำสั่ง 3761/QD-BTC ลงวันที่ 6 พ.ย. 2025) และกระแส IPO ขนาดใหญ่ที่เริ่มทยอยเข้าตลาดตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป โดยรวมแล้วภาพของตลาดเวียดนามยังเป็นขาขึ้นเชิงโครงสร้าง (structural uptrend) จาก Valuation ที่ยังดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติที่เริ่มกลับ และ Story การยกระดับตลาดทุนสู่มาตรฐานสากลที่ชัดเจนขึ้น
ตลาดหุ้นไทย
SET Index เดือนพ.ย. 2025 ร่วง -3.11% MoM ปิดที่ 1,256 จุด หลุด 1,300 อีกครั้ง จากแรงกดดันทั้งในและต่างประเทศ ทั้งน้ำท่วมภาคใต้ เศรษฐกิจไทยที่ชะลอ และแรงขายต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง -12.4 พันล้านบาท ขณะที่ proprietary trading ขายเพิ่ม -0.7 พันล้านบาท
ต้นเดือนตลาดถูกกดดันจากความเสี่ยง shutdown สหรัฐฯ แรงขายหุ้นเทค ค่าเงินบาทอ่อน และราคาน้ำมันที่ลดลง แม้ DELTA จะพยุงตลาดช่วงสั้น แต่โมเมนตัมก็หายไปเมื่อความผันผวนในหุ้นเทคกลับมา กลางเดือนความกดดันยิ่งหนักจาก DELTA ร่วงแรง งบ CPALL–CPAXT ต่ำกว่าคาด กระแสเงินต่างชาติยังลบ และตลาดสหรัฐฯลดโอกาส Fed ลดดอกเบี้ยหลังทรัมป์ผ่านงบชั่วคราว ด้านปลายเดือนแม้เริ่มได้แรงประคองจากความหวัง Fed cut แต่ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะ GDP Q3 ที่ต่ำกว่าคาด และผลกระทบน้ำท่วมต่อการบริโภคและท่องเที่ยวยังทำให้แรงซื้อจำกัด สภาพคล่องในตลาดซบเซา มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยลดเหลือเพียง 33.8 พันล้านบาท/วัน สะท้อนภาวะ Wait-and-See และบ่งชี้ว่าตลาดยังต้องการตัวเร่งใหม่ก่อนกลับสู่แนวโน้มฟื้นตัว
ตลาดตราสารหนี้
ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาเผชิญความไม่แน่นอนจากการขาดข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความคลุมเครือนโยบาย Fed ขณะที่ผลกระทบของภาษีนำเข้าและการใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพราคาในปี 2026 อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นเดือนพ.ย. ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้นว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 10 ธ.ค. สะท้อนผ่านแรงซื้อพันธบัตรที่เกิดขึ้นหลังข้อมูลแรงงานส่งสัญญาณผสมผสาน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอ่อนตัวลง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ลดลง และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลายเป็นกลุ่มที่ทำผลงานดีที่สุดในเดือนนี้ (+0.6% MoM)
ในทางตรงกันข้าม พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในกลุ่มที่อ่อนตัวที่สุด โดยให้ผลตอบแทน -1.3% เนื่องจากอัตราผลตอบแทนยังถูกกดดันให้ปรับขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลว่า BOJ จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่เงินเยนอ่อนค่ายิ่งเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อขึ้นไปอีก โดย CPI เดือน ต.ค. อยู่ที่ +3.0% YoY
ในสหราชอาณาจักรแม้เงินเฟ้อ CPI จะชะลอลงสู่ +3.6% YoY แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับงบประมาณยังคงครอบงำตลาด ทำให้ราคา Gilts ไม่ได้รับแรงหนุนมากนัก อย่างไรก็ดีการประกาศลดปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลในปีหน้าช่วยบรรเทาความกังวลบางส่วน ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลอังกฤษเคลื่อนไหวทรงตัวที่ +0.1% ในเดือนพ.ย. ขณะที่ในยูโรโซน พันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี (Bunds) ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาด เนื่องจากปริมาณการกู้ยืมสุทธิของรัฐบาลกลางสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
ราคาทองคำปรับตัวขึ้น +5.6% ในเดือน พ.ย. โดยข้อมูลของ Goldman Sachs ระบุว่าธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทองในระดับสูง ด้วยปริมาณ 64 ตันในเดือน ก.ย. (เพิ่มขึ้นจาก 21 ตันในเดือน ส.ค.) ซึ่งสอดคล้องกับฤดูกาลที่แรงซื้อจะเร่งขึ้นหลังช่วงซัมเมอร์
มองไปข้างหน้า Goldman Sachs ประเมินว่าแรงซื้อจากธนาคารกลางยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องในเดือน พ.ย. และจะเป็นเทรนด์ระยะยาวหลายปี เนื่องจากประเทศต่างๆต้องการกระจายสินทรัพย์สำรอง เพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางการเงิน โดยยังคงตั้งสมมติฐานว่าธนาคารกลางจะซื้อทองเฉลี่ย 80 ตันต่อเดือน ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2025 ถึงตลอดปี 2026
ด้วยแรงหนุนจากทั้งธนาคารกลางและเงินทุนจากนักลงทุนเอกชน ภายใต้บริบทที่ Fed เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน Goldman Sachs คาดว่าราคาทองคำมีโอกาสขึ้นสู่ระดับ 4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2026 และยังมี Upside มากขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญ หากกระแสการกระจายพอร์ตของนักลงทุนเอกชนเร่งตัวขึ้น
มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน
ตลาดหุ้นโลก : ปรับตัวแรง +21.94% YTD นำโดยตลาดหลักทั่วโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 +16.71% และทำ ATH ถึง 36 ครั้งในปีนี้ (ล่าสุด 28 ต.ค. ที่ 6,890 จุด) ขณะที่ Nasdaq +21.19% จากแรงหนุนหุ้นเทค และ Dow Jones +12.56% ด้านเอเชีย ญี่ปุ่นโดดเด่นด้วย Nikkei 225 +27.85%, จีนแผ่นดินใหญ่ CSI 300 +18.49%, ฮ่องกง Hang Seng +31.78%, ไต้หวัน TAIEX +21.0%, ส่วนอินเดียยังเติบโตมั่นคงแต่ต่ำกว่าตลาดโดย Nifty 50 +10.36% ขณะที่ ยุโรปฟื้นตัวต่อเนื่องโดย Euro Stoxx 600 +12.88% สำหรับอาเซียน ผลตอบแทนกระจายตัวสูง โดย VN Index ของเวียดนาม +33.18% นำภูมิภาค ตรงกันข้ามดับ SET Index ของไทยที่ -8.93% ยังถูกกดดันจากปัจจัยภายในประเทศและกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออก
ปี 2025 กลายเป็นปีแห่ง ‘จุดพลิกเกม’ ของตลาดการเงินโลก แม้ต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือนจาก ความไม่แน่นอนด้านภาษีจากนโยบายของทรัมป์ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่เศรษฐกิจโลกกลับทนทานกว่าที่คาด โดยมีสหรัฐฯ ยังคงบวกแรงหลัง เม.ย. และยุโรปฟื้นตัวจากแรงหนุนจาก Germany Fiscal Theme นอกจากนี้ ตลาดกลับส่งสัญญาณเปลี่ยนทิศสำคัญ โดยหุ้นนอกสหรัฐฯ พลิกมาชนะสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มลดลง และราคาทองคำทำ All-Time High
เศรษฐกิจสหรัฐฯ : ตลาดยังคงให้ ‘ภาพบวก’ แม้เผชิญแรงต้านหลายด้าน ทั้งเงินเฟ้อที่ยังสูง เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอ การปิดหน่วยงานรัฐสหรัฐฯ ยาวนาน 43 วัน และกระแสกังวล AI bubble ที่กดดันราคาหุ้น แต่การปรับฐานรอบนี้ยังอยู่ในลักษณะ healthy correction มากกว่าสัญญาณลบ เชื่อมโยงกับการพักตัวหลังขึ้นแรง ไม่ใช่การเปลี่ยนทิศของเทรนด์หลัก ด้านผลประกอบการไตรมาส 3 กลับออกมาดีกว่าคาดอย่างชัดเจน จากบริษัทใน S&P 500 ที่รายงานแล้ว 95% พบว่า 83% มีกำไรดีกว่าคาด และ 76% มีรายได้เหนือคาด โดยกลุ่มที่นำฝั่งกำไรคือ Technology, Healthcare และ Finance ส่วนกลุ่มที่นำฝั่งรายได้คือ Consumer Staples, Healthcare และ Technology สะท้อนว่าภาพพื้นฐานของตลาดยังแข็งแรงกว่าความกังวลในเชิงมหภาค
ตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯ : หุ้นนอกสหรัฐฯ พุ่งแรง +31% (USD terms) และ outperform หุ้นสหรัฐฯ ถึง +15.2ppt มากที่สุดตั้งแต่ปี 1993 โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจาก Valuation re-rating +15ppt หลังความคาดหวังฟื้นจากฐานต่ำ ดอลลาร์อ่อนค่า
+7ppt ช่วยหนุนผลตอบแทนแบบ USD การรีบาวด์ของตลาดที่เคย underperform หนัก เช่น ยูโรโซนหลัง sentiment ดี
ขึ้นและกำไร 12 เดือนข้างหน้าถูกปรับขึ้นในหลายภูมิภาค
ตลาดตราสารหนี้ : ที่ผ่านมายังคงคึกคัก โดย credit spreads แคบลงต่อเนื่อง แม้มีการออกตราสารหนี้จำนวนมาก สะท้อนว่าพื้นฐานบริษัทเอกชนยังแข็งแรง และนักลงทุนยังชอบ ‘ความเสี่ยงภาคเอกชนที่กระจายตัวดี’ มากกว่าความเสี่ยงภาครัฐที่ฐานะการคลังอ่อนแอ จึงทำให้ระดับยีลด์ปัจจุบันยังน่าสนใจ และเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนรวมแบบ income-driven อย่างไรก็ตาม ด้าน valuations ของ credit spreads ค่อนข้างตึงตัว ทำให้มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนเครดิตอาจต่ำกว่าพันธบัตรรัฐบาลเป็นช่วง ๆ หากเจอปัจจัยลบ เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนกว่าคาด ความผันผวนหุ้นสูงขึ้น หรือสัญญาณความตึงตัวในตลาดเครดิตเอกชน/รัฐบาล
แนวโน้มตลาดในเดือน ธ.ค.
นักลงทุนกลับเข้าสู่โหมด risk-on อย่างชัดเจน หลังความคาดหวังว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นสู่ 80–87% ซึ่งจะเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ติดต่อกัน (ต่อเนื่องจาก ก.ย. และ ต.ค.) อย่างไรก็ดีช่วงก่อนการประชุม ตลาดยังมีโอกาสผันผวนเป็นระยะ ดังที่เห็นในคืนวันที่ 2 ธ.ค. เมื่อแรงขายจากตลาดคริปโตทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยง และกดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หยุดสถิติการบวก 5 วันติดต่อกัน สะท้อนว่า “margin for error” ในระยะสั้นยังคงจำกัด
หลังการประชุม Fed สัปดาห์หน้า ตลาดจะเริ่มประเมินโอกาสของ Year-end Rally ซึ่งมีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้น จากหลายปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ สถิติที่บ่งชี้ว่าตลาดมักให้ผลตอบแทนบวกในเดือน ธ.ค. จากแรงซื้อปลายปีและการปรับพอร์ตของสถาบัน การอ่อนตัวของตลาดในเดือน พ.ย. ที่อาจกลายเป็นฐานให้เกิดแรงซื้อกลับ หาก sentiment ปรับดีขึ้น
โดยรวมแล้ว หาก Fed ส่งสัญญาณผ่อนคลายตามที่ตลาดคาด ก็อาจช่วยปลดล็อกบรรยากาศและหนุนตลาดให้เข้าสู่ช่วงปลายปีที่เป็นบวก (Year-end Rally) ได้มากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนในเดือน ธ.ค.
ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี แม้ตลาดกำลังส่งสัญญาณว่าจะ bottom out ขณะที่ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังต้องประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติม โดยเฉพาะผลประกอบการของ Oracle ซึ่งอยู่ในช่วงเร่งลงทุนจำนวนมาก หากงบที่จะรายงานในสัปดาห์หน้า ออกมาต่ำกว่าคาด อาจเป็นตัวแปรที่กระตุ้น ความกังวลต่อธีม AI ให้กลับมาครั้งใหม่ได้ในระยะสั้น ทั้งนี้ บลจ. LH Fund มีมุมมองกลยุทธ์การลงทุน ดังนี้
1. การกระจายการลงทุนทั้งในมิติของสินทรัพย์และภูมิภาคยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญ ในการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในแนวทางหลักคือ การ ‘เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นโลก (Global Equity)’ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยเฉพาะประเทศและสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวม ขณะเดียวกัน ‘การจัดสรรบางส่วนไปยัง ตราสารหนี้คุณภาพสูงระดับโลก (Global Investment Grade Bonds)’ ช่วยเพิ่มความเสถียรให้พอร์ต และเสริมประโยชน์ด้านการกระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง
2. เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ แต่เน้นใช้ ‘กลยุทธ์แบบ Selective’ โดยคัดเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ระยะยาว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่ม AI Ecosystems ที่ยังคงเป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระดับโลก อาทิ Quantum Technology, Space Economy และ Nuclear Energy
LHGEQP
กองทุนหุ้นโลกที่กระจายการลงทุนตามดัชนีอ้างอิง MSCI ACWI ลงทุนใน iShares MSCI ACWI ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ครอบคลุมทั้งประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาวจากหุ้นทั่วโลก พร้อมกระจายความเสี่ยงด้านภูมิภาคอย่างสมดุล
LHGIGO
กองทุนตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก ลงทุนใน Man Global Investment Grade Opportunities (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก ในระดับ Investment grade มุ่งเน้นความมั่นคงของพอร์ต ผ่านกลยุทธ์การคัดเลือกผู้ออกตราสารรายตัว เพื่อเลือกลงทุนในเครดิตคุณภาพสูง เหมาะสำหรับการรับมือกับภาวะตลาดที่ผันผวนและลดความไม่แน่นอนจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก
LHQTUM
กองทุนธีมควอนตัมเทคโนโลยี ลงทุนใน Defiance Quantum ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานของ Quantum Technology และ AI พร้อมคัดเลือกบริษัทที่สะท้อนธีมควอนตัมอย่างแท้จริง เพื่อคว้าโอกาสจากเมกะเทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
LHNUKZ
กองทุนธีมพลังงานนิวเคลียร์ ลงทุนใน Range Nuclear Renaissance Index ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจที่อยู่ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ (Nuclear Value Chain) โดยเน้นบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากกระแส ‘Nuclear Renaissance’ และความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
LHSEMICON
กองทุนธีมเซมิคอนดักเตอร์ ลงทุนใน iShares Semiconductor ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV มุ่งลงทุนในบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่อยู่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากกระแส AI boom ในซัพพลายเออร์ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการเติบโตของ AI
ปี 2025 เศรษฐกิจโลกยังแข็งแกร่งกว่าคาด IMF ปรับคาดการณ์ 2025 GDP โลกเป็น 3.2% จากเดิม 2.8% แม้เผชิญเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะลอ และความตึงเครียดจากภาษี ขณะที่ ธนาคารกลางหลักทยอยผ่อนคลายนโยบาย หนุนให้ภาพปี 2026 ยังมีแรงส่งเชิงบวก
เศรษฐกิจปี 2026
สหรัฐฯ : กำลังเผชิญ ‘แรงสวนทาง’ หลายด้านจากชุดนโยบายใหม่ ทั้งการขึ้นภาษีนำเข้า การผ่อนคลายนโยบายการคลัง และการจำกัดแรงงานต่างชาติ ล้วนเป็นแรงผลักดันเงินเฟ้อให้สูงกว่าที่คาด ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงแต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (no recession) ทำให้ Fed ต้องให้ความสำคัญกับตลาดแรงงาน มากขึ้นในการกำหนดนโยบาย ส่งผลให้เส้นทางเงินเฟ้อมีลักษณะ sticky จากแรงกดดันด้านนโยบายทั้ง tariff และ fiscal
ด้วยบริบทดังกล่าว Fed มีแนวโน้มจะ ‘ลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด’ แต่จะเป็นรอบการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป (slow-cut cycle) เพื่อไม่ให้กระทบเสถียรภาพราคา ขณะเดียวกันก็คงต้องประคองการเติบโตของเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลงอย่างระมัดระวัง
ยุโรป : เริ่มฟื้นตัวชัดเจนจากวัฏจักรการใช้จ่ายภาครัฐ (fiscal cycle) โดยเฉพาะเยอรมนีที่ประกาศแพ็กเกจการคลังขนาดใหญ่เพื่อเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและกลาโหม ซึ่งเม็ดเงินจำนวนมากจะทยอยลงในปี 2026 โครงสร้างเศรษฐกิจยุโรปยังได้แรงหนุนจากเมกะเทรนด์สำคัญ ได้แก่ Defense build-up (งบกลาโหมเพิ่มทั่วภูมิภาค) Energy independence และการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน Digital infrastructure / AI adoption Green transition ยุทธศาสตร์ความมั่นคงเชิงโครงสร้าง (Strategic Autonomy) แม้การฟื้นตัวยังช้ากว่าสหรัฐฯ แต่ยุโรปมี โอกาสเชิงโครงสร้าง จากมุมมองการลงทุน เพราะยังมี valuation discount อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ
ญี่ปุ่น : ยังเดินหน้ามาตรการการคลังเชิงรุกต่อเนื่อง ขณะที่ค่าแรงจริง (real wage) เริ่มกลับมาเป็นบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ ‘เริ่มยืนได้ด้วยตัวเอง’ มากขึ้น เศรษฐกิจได้รับแรงหนุนจากแพ็กเกจกระตุ้นขนาดใหญ่ การลงทุนภาครัฐ และการปรับขึ้นค่าแรงของภาคเอกชน ซึ่งช่วยประคองกำลังซื้อภาคครัวเรือนหลังหลายปีที่ถูกกดดันจากเงินเฟ้อ ในภาพรวม ญี่ปุ่นจึงยังเป็นเศรษฐกิจที่ได้แรงส่งทั้งจาก fiscal tailwind + real income recovery ทำให้แนวโน้มการบริโภคและกิจกรรมเศรษฐกิจในปี 2026 ดูมั่นคงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
จีน : เศรษฐกิจในปีหน้ายังคงพึ่งพานโยบายกระตุ้นแบบเฉพาะจุด (targeted stimulus) เพื่อผลักดันภาคผลิตขั้นสูง แต่แรงกดดันหลักยังคงเป็นภาวะอสังหาฯ ซบเซาและอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรง ส่งผลให้แม้จะมีมาตรการพยุงเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทิศทางฟื้นตัวยังจำกัด การฟื้นตัวจึงยังขึ้นอยู่กับประสิทธิผลของมาตรการเฉพาะทางมากกว่าการกระตุ้นวงกว้างเช่นในอดีต
ทั้งนี้ ภาพรวมการลงทุนในปีหน้า AI-driven capex จะยังเป็นแรงขับหลักของเศรษฐกิจและตลาดการเงิน โดยเม็ดเงินลงทุนใน AI พุ่งขึ้นกว่า 3 เท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา สะท้อนความเชื่อว่าอุปสงค์ในอนาคตจะรองรับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Agentic AI ที่แทนงานความรู้ หรือ Physical AI เช่น หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ซึ่งหาก AI ทดแทนแรงงานโลกได้ราวหนึ่งในสาม อุตสาหกรรมนี้อาจสร้างรายได้รวมกว่า 1.5 ล้านล้าน USD แม้รายได้ยังเติบโตช้ากว่าการลงทุน แต่นี่เป็นพฤติกรรมปกติของเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องเร่งสร้าง adoption ก่อน และด้วยสัญญาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นชัดเจน AI จึงยังถูกมองเป็น ‘ตัวเร่งสำคัญ’ ที่จะพาตลาดเดินหน้าต่อในปี 2026
ตลาดตราสารหนี้ ปี 2026
ปี 2026 ยังมีภาพบวกเด่นชัด หนุนโดยวัฏจักรการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งผลักดัน Total Return ผ่านรายได้ดอกเบี้ย (carry) ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มทำให้ ยีลด์ระยะยาวชันขึ้น (steepen) และช่วยให้ credit spreads แคบลง ราคาตราสารหนี้ปรับขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญยังคงมาจาก เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจดื้อด้าน เนื่องจากนโยบายภาษีนำเข้าและการคลังแบบขยาย ซึ่งอาจทำให้ยีลด์ผันผวนเป็นระยะ
ในเชิงกลยุทธ์ ปี 2026 เป็นโอกาสของ Flexible/ Active Credit เพราะ credit spreads น่าจะผันผวนมากขึ้น เปิดช่องให้นักลงทุนเชิงรุกสร้างผลตอบแทนเหนือดัชนีได้ และตราบใดที่ไม่เกิด Economic Shock หรือ Credit Shock ธีมหลักของตลาดตราสารหนี้ยังคงเป็น carry-driven total return อย่างต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นปี 2026
ปี 2026 จะเป็นปีที่ ‘ต้องเลือกแบบเฉพาะเจาะจง’ มากขึ้น ทั้งรายประเทศและรายธีม เพราะโมเมนตัมการเติบโตเริ่มแตกต่างชัดเจนระหว่างภูมิภาค แต่จุดร่วมสำคัญคือ AI Megatrend ยังอยู่ต้นวัฏจักร และยังไกลจากคำว่า bubble ซึ่ง Valuation ของผู้นำอุตสาหกรรมยังสอดคล้องกับกำไร และกระแสเงินสดที่เติบโตจริง ขณะที่ อัตราการใช้งาน AI ในองค์กรยังต่ำมาก (multi-department penetration เพียง ~16%) ทำให้ยังมีพื้นที่สำหรับการเติบโตเชิงโครงสร้างอีกมากในปี 2026 และกลุ่ม AI จะยังคงเป็น ‘แกนหลัก’ ของธีมการลงทุนทั่วโลก แต่ต้องคัดเลือกบริษัทและภูมิภาคที่ได้ประโยชน์ตรงที่สุด
ภาพใหญ่ของปี 2026 คือ Global Rotation ยังเดินหน้าแต่แรงส่งเริ่มชะลอ หลังจากต้นปี 2025 มีการหมุนเงินออกจากหุ้นสหรัฐฯ เข้าตลาดต่างประเทศอย่างชัดเจน เราคาดว่า momentum ดังกล่าวยังคงต่อเนื่องในปี 2026 แต่ “ไม่รุนแรงเท่าเดิม” เพราะ Tech Capex Supercycle กำลังกลายเป็นเรื่อง “ข้ามภูมิภาค” ไม่ใช่ของสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวอีกต่อไป ผู้ชนะรอบใหม่กระจายกว้างขึ้น ทั้ง จีน ไต้หวัน อินเดีย ยุโรป และญี่ปุ่น ที่ต่างเร่งลงทุนใน AI, semiconductor capacity, cloud infrastructure และ automation ทำให้ธีมเติบโตในปี 2026 จะไม่กระจุกอยู่ในสหรัฐฯ เช่นในรอบที่ผ่านมา แต่เปิดโอกาสในหลากหลายตลาดทั่วโลกมากขึ้น
Country
สหรัฐฯ : กำไรยังเติบโตแข็งแรง แต่ Valuation ตึงตัวที่สุดในโลก ทำให้ตลาดกลายเป็น Selective Market เลือกเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก AI, Cloud, และการพลิกโฉมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ขณะที่เมกะเทรนด์ยังอยู่ early cycle แต่แรงส่งอาจกระจุกตัวแค่บางกลุ่ม
ยุโรป : ยุโรปได้แรงหนุนจาก ‘Strategic Autonomy’ อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการตั้งเป้าเพิ่ม Defense spending สู่ 3.5% ของ GDP ภายในปี 2035, การทุ่มงบประมาณรวม กว่า €2 trillion (ช่วงปี 2028–2034) เพื่อขับเคลื่อน Clean Tech, Digital Infrastructure, Semiconductor และ Defense, รวมถึงการเร่ง เพิ่ม capex–infrastructure ของรัฐบาลยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีที่ประกาศ fiscal package ขนาดใหญ่ซึ่งจะเริ่มส่งผลชัดในปี 2026
ญี่ปุ่น : ยังคงเป็น Reform-driven Market ตลาดยังได้แรงหนุนจาก ‘การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง’ โดยเฉพาะการยกระดับธรรมาภิบาล (Corporate Governance), การเร่งปรับปรุง ROE และรอบใหญ่ของการทำ share buyback ซึ่งช่วยผลักดันคุณภาพของตลาดโดยรวมให้ดีขึ้น
ยุโรปและญี่ปุ่น : กำลังได้รับแรงหนุนเชิงโครงสร้างจากการที่อัตราดอกเบี้ยหลุดออกจากภาวะ Negative Rate ซึ่งช่วยให้ กลุ่มธนาคารและ Value Sectors ฟื้นตัวชัดเจน ทั้งกำไรต่อส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ดีขึ้น ความสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น และคุณภาพสินทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น
EM : น่าจะได้อานิสงส์ชัดจาก US yields ที่ลดลงและดอลลาร์อ่อนค่า โดยเฉพาะ Asia Tech-driven อย่างไต้หวันและ Offshore China ซึ่งเป็นผู้ชนะในรอบ AI และ Chip cycle ขณะที่ จีนได้แรงหนุนจากนโยบายภาครัฐและ valuation ที่ถูก รวมถึง AI ecosystem ในประเทศเริ่มเติบโต แต่ต้องเลือกเฉพาะ Export Tech และ EV Supply Chain ที่ยังเกาะ secular growth ได้ดี ส่วน อินเดีย และ อาเซียน ยังคงเป็น bright spots จากแรงขับ Domestic Demand ที่แข็งแกร่ง
Thematic
AI ยังคงเป็น ธีมโครงสร้าง (structural theme) ที่อยู่ในช่วง early stage ตามมุมมองของ Robeco โดยผู้ชนะชัดเจนกระจุกตัวอยู่ใน 4 ห่วงโซ่หลัก ได้แก่ Foundational Models, Semiconductors, Cloud & Power Infrastructure, และ Automation & Robotics ด้าน JP Morgan ให้กรอบคิดว่า ‘Navigate tech concentration carefully’ เนื่องจากแม้ AI จะเป็น secular trend ระยะยาว แต่ตลาดเริ่มเห็นการ rotation จาก growth ไป defensive หลังหุ้นเทคขึ้นแรงต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ค. ซึ่งทำให้การเลือกกลุ่มให้ถูกช่วงยิ่งสำคัญขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกัน Capex ใน AI และ Data Center ยังคงขยายตัวสูง โดยมีแรงขับจากความต้องการ cloud, semiconductor, และ energy supply chain ที่รองรับงานประมวลผลจำนวนมหาศาล ส่งผลให้ทั้งฝั่ง US และ Emerging Markets ที่เป็น tech-driven ยังคงได้ประโยชน์เชิงโครงสร้างในปี 2026
Source: Trading Economy, investing.com, JPMorgan, Robeco, Invesco, Amundi, BNP, CNBC, Reuters, Financial Times
Data as of: 3 Dec 2025
เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือ
ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

