LAND AND HOUSES FUND MANAGEMENT CO.,LTD

ข่าวสารและกิจกรรม

สรุปภาวะตลาด





สรุปภาพรวมการลงทุนในเดือนที่ผ่านมา 
ผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนต.ค. ดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) ปรับตัวขึ้น +2.26% โดยเป็นการปรับตัวขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก สหรัฐฯ: ดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +2.34%, ดัชนี Nasdaq +4.70%, และ Dow Jones +2.51%, เอเชีย: Nikkei 225 ของญี่ปุ่น +16.64%, CSI 300 ของจีนแผ่นดินใหญ่ทรงตัว (+0.00%), Hang Seng ของฮ่องกง -3.53%, TAIEX ของไต้หวัน +9.35%, ขณะที่ Nifty 50 ของอินเดียเพิ่มขึ้น +4.51%, ยุโรป: Euro Stoxx 600 +2.46%, อาเซียน: SET Index ของไทย +2.77% ขณะที่ ทางด้าน VN Index ของเวียดนามในเดือนที่ผ่านมากลับอ่อนตัว -1.32% โดยรวมแล้ว เดือนต.ค. เป็นอีกหนึ่งเดือนที่ตลาดการเงินทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจาก ข้อตกลงพักรบทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน (US–China trade truce) ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งช่วยกลบความกังวลเกี่ยวกับ ตลาดสินเชื่อเอกชน (Private Credit) และความเสี่ยงของฟองสบู่ AI

data-cke-saved-src=data:image/png;base64,iVBORw0KGgoAAAANSUhEUgAABDkAAABaCAMAAACFf33BAAAAAXNSR0IArs4c6QAAAARnQU1BAACxjwv8YQUAAABmUExURQAAAACZmRijo0Czs6/f3////4/S0iCmpli8vDivrwicnGjDw4DMzHjJyWC/v3DGxjCsrEi2thCfn4fPz8fp6Sipqc/s7JfV1VC5ub/l5ef19bfi4tfv7/f8/N/y8u/5+afc3J/Z2TX7RZoAAAABdFJOUwBA5thmAAAACXBIWXMAABcRAAAXEQHKJvM/AAAHEElEQVR4Xu3cW0PiPBCHcQsWpBY5CCoeUL//l3wzM2maQuI23Xdvdp/fxZKWdurN/ElPewMAAAAAAAAA/64KAAqRHADKkRwAypEcAMqRHADKkRwAypEcAMqRHADKkRwAypEcAMqRHADKkRwAypEcAMqRHADKkRwAypEcAMqRHADKkRwAypEcAMqRHADKkRwAypEcAMqRHADKkRwAypEcAMr9hckxmyu/BOAP+AuT47YWC78E4A/4jeRY3q3ko7m/+Hmf3bVtu543frGqVvN1+xAte7P5pr2aGuSKbl2Ndrf3S5maeuRHDY6DfpXc6qJUmKBsd5v5Ulc5Ya2jk5itXwDgTE6Orfy0PzbV8cl9Pvct/SLL6mSd9/Dql580E7zjm19bn178KidTtNl0NQ62cbLmy7tf6Xwc3YrUVlelKl1wG591cPIJoQs2rB70C78AwJmaHLsP7a339ad+vvrebEIgiGdZ1foFJ5xBNDYx8M7S5iJT9Ng1uzhJniRqDo/8JqsSW12XsoxovvRDWN7pUEckB3BtYnL4Hu+9znT9oH0tOqL+rTe6UdVEswNxttlFpujeZgOdszv5SNQ8+EWvdauut0qUsowIEyWXW3pyo0MZOCQHcGlacljr+0a3CcK3rL/TYcTN/eP+/bB8Gcw4hLZlruhFGkkcXde890tB8siJUpYRsQfZUkcycEgO4NK05NhIL33MNAFO+2/5eJf11vutO8uYW9s+up5+lMuOc5sT6FnD0tJh45p7769FSF9nija69e2uqVb+LGafqHl1ZDfJuNoqVapLjsOu2i905P5mkgP42bTk0D51vbh6l3+3slTLJF878862eZbxrY0dm1Host42/fR3Lo66j1ytzBSdy+erbbzUleGSalRTv4iP/GVjp98qWUo/65Oeo1zUk4FDcgCXJiWHdZ38oDe7eHF/EtqDVaWThqjf9ExGJxEyqNuV2/TZda7myDpf9EUHG7sUspIbpLKNCTVno46cLKXr3m2dTld0T12r60gO4Nqk5NBWOleNdOtiGfW82c/n961dc4z6zSYR3eBjttbl1vq8zRc96sA5fMUPiahQ0/vFkZOldIW/zNpnhK7VdSQHcG1ScuhP85vvyNcmTo7V9+D2RdRvtpUb6C//yT/qeQrJkS06uGviHxLxQk1n9+sjJ0vp2MceyQGMMyk59ELCt13SrOtZ3+SNfhNJ9a9ONm4r6/PHkBzZooNnMOr6OZp39JkQPZBhksmRKqUj+dIhOYBxJiWHNvtzZc169p0pTX7Zvsn+9XtXjdze2IbkyBat9otBw8tdEq/PhFFHTpbSgX5JcgBj/c6co2qkDTd9k+u9C3E4nRaaBNnkcHtLQx78Yj/nuCqqjvP1Y3eq4R8KEaHmuCOry1I68N+RHMA4k5JDzze+7AmM16ZvcjtX2dhD45f9FvpXH9hwEXFyHw99cuSK9pqddXy4K9vX9Ee2l06yR+5FpfTTr04nh/5lJAcQmZQcepvzqZsd9E2uj2jqyypOtn/1SsZBb3R8Nn1y5Ipqi/t7H3ZxpFuIauqRu9OY7JGTpeQjkxz+ioruRnIAkUnJoecGn42fHfRNrg9S6cPbTrZ/9YtPfelNUqZLjlxRfbBTH0N3NCH8A19OqKlH7tZnj5wsJR/XyaHPp0VTGJIDiE1KDmvFVmYH8jsfmlwvU775X+ps/9pA33aX1uySI1fU3kiRh8O6d+K6V2ujmnrk7oHV7JGTpXSdror31IdCdBLj38MjOYDIpOSwn3ihVytDk9vDXe/fbbt4Wmb7t3+q4kmWuuTIFbUHPOqv+/laroy4eYnsZUJNO/LTL46cLKUD3S5ODnva5PDwon+eQ3IAkWnJYY3q6K9yaPKVDswPyRH2vpelkByZorZBZC1fm1Bz5JFTpXQgXzr9nvbaXITkACLTkqP7fy7sBmnf5NHr8z/0b9hbz2tCcuSK2htrQXedQvQ1xx05VUpHMnD6PRv/xzgfekWE5AAi05KjWtlL6jo7iJo8eiDrh/6tlvHeITmyRY926qA+Fv4yiopqjjtyopSO9cvBFZK5/TF1fV5d1gMwMTmq5a3rLPtvgv2LqjpTqLbfcomzrt/2O311TVcq28rGy4X78fd7rGW13ZDJFa22X9bH7wu/wotrjjvydan4y3jP2bNseH7cD9YCEFOT4ydHu5v5PzvOh6mRMvLIY0qpwet1AII/kRwA/nYkR28rZyXOyAkJ8A8jOXrda3N6WRbAD0iOHskBjEVy9EgOYCySY4DkAEYhOQZIDmAUkmOA5ABGITkGSA5gFJIDQDmSA0A5kgNAOZIDQDmSA0A5kgNAOZIDQDmSA0A5kgNAOZIDQDmSA0A5kgNAOZIDQDmSA0A5kgNAOZIDQLkbAAAAAAAAAAAAAAAAAAAA/Gtubv4DO8yqhR1bdnwAAAAASUVORK5CYII=

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นับจากจุดต่ำสุดเมื่อ 7 เม.ย. โดย ดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 6,920.34 จุด ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Semiconductors, Electronic Components, Construction & Machinery และ Life Science กลุ่ม Magnificent 7 ยังคงนำตลาด โดยเฉพาะ Google, Amazon และ Nvidia ที่ราคาหุ้นพุ่งกว่า 10–15% MoM จากแรงหนุนของการขยายตัวใน Cloud, Data Center และ AI ที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง ทั้งในแง่เม็ดเงินลงทุน (Capex) และจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม AI แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวเพียงในระดับปานกลางก็ตาม

ในไตรมาส 3/2025 บริษัทในดัชนี S&P 500 จำนวน 356 แห่ง รายงานผลประกอบการแล้ว โดยกว่า 82% (292 บริษัท) ออกมาดีกว่าคาด เฉลี่ยสูงกว่า +6.25% สะท้อนกำไรภาคธุรกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่ม Technology, Utilities และ Financials ซึ่งเติบโต +18–25% YoY สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ +10% YoY อย่างไรก็ดี หุ้น Meta (Facebook) เป็นจุดอ่อนของตลาด โดยราคาหุ้นร่วง -12% MoM แม้รายได้โตแรง +26% YoY แต่กำไรสุทธิลดลง -82% YoY จากค่าใช้จ่ายภาษีพิเศษ และความกังวลต่อ Capex ด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทยังขาดโมเดลสร้างรายได้จาก AI ที่ชัดเจน ต่างจากคู่แข่งอย่าง Microsoft, Google และ Amazon

บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกช่วงปลายเดือน เริ่มผ่อนคลายอย่างชัดเจนหลังแรงกดดันจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ลดลง โดยเฉพาะข้อตกลงการค้าชั่วคราวระยะ 1 ปีระหว่าง สหรัฐฯ–จีน ที่มุ่งชะลอการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และผ่อนคลายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (Rare Earths) ของจีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรม AI

พร้อมกันนั้น จีนยังตกลงเพิ่มการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ สะท้อน ‘สัญญาณสงบศึกทางการค้า’ ชั่วคราวระหว่างสองชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ ช่วยคลายความเสี่ยงการเผชิญหน้าทางการค้าในระยะสั้น และหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้ฟื้นตัว หลังจากความตึงเครียดในช่วงต้นเดือนที่เคยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรงที่สุดในรอบหลายเดือน

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรงจากแรงขายในหุ้นเทคโนโลยี หลังนักลงทุนกังวลต่อมูลค่าหุ้น (valuation) ที่พุ่งสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม AI และ Semiconductor ซึ่งปรับขึ้นแรงตลอดครึ่งปีหลัง หุ้น Palantir, Nvidia และ AMD ถูกเทขายนำตลาดจากมุมมองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนความคาดหวังเชิงบวกไปมากแล้ว อย่างไรก็ดี ตลาดฟื้นตัวในวันถัดมาจากแรง “Buy on Dip” ของนักลงทุนที่ยังเชื่อมั่นในแนวโน้มระยะยาวของธีม AI


ตลาดหุ้นยุโรป
ดัชนี STOXX 600 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นหลักของยุโรปปิดเดือน ต.ค. 2025 ที่ +2.46% MoM โดยแม้จะอ่อนตัวในช่วงปลายเดือน แต่ยังปิดบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และทำสถิติ ‘เดือนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดนับตั้งแต่ พ.ค.’ แรงหนุนสำคัญมาจากความหวังต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed, สัญญาณเชิงบวกจากการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน, และผลประกอบการบริษัทยุโรปที่แข็งแกร่งกว่าคาด ซึ่งช่วยหนุนให้ตลาดทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงต้นเดือน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารและอุตสาหกรรมที่ยังคงเป็นกลุ่มนำผลตอบแทนสูงสุดของปี 2025
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนตลาดเริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร หลังผลประกอบการทยอยออกมาผสมผสาน ขณะที่หุ้นกลุ่มประกันภัยถูกกดดันหนักจากผลประกอบการที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้ตลาดโดยรวมปิดเดือนในแดนบวกแคบลง

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ดัชนี Nikkei +16.64% MoM และ ดัชนี Topix +6.19% MoM ในเดือน ต.ค. 2025 โดย Nikkei พุ่งขึ้นแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 1990  สะท้อนความเชื่อมั่นที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนต่อแนวทางเศรษฐกิจภายใต้การนำของ ซาเนะ ทาคาอิชิ (Sanae Takaichi) นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น และหัวหน้าพรรค Liberal Democratic Party (LDP) โดยนโยบายเศรษฐกิจของทาคาอิชิยังคงสานต่อแนวทาง ‘Abenomics’ ด้วยการดำเนินนโยบายการคลังและการเงินแบบขยายตัว (Expansionary Policy) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนในประเทศซึ่งได้รับการตอบรับในเชิงบวกจากตลาด
ขณะเดียวกันการอ่อนค่าของเงินเยน (JPY) ยังเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยผลักดันหุ้นในกลุ่มส่งออก เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมให้ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง


สำหรับในไตรมาสที่ 3/2025 ค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามีบทบาทสำคัญในการหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยในไตรมาส 3 ดัชนี Nikkei 225 และ TOPIX ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง +10.98% และ +9.98% ตามลำดับ นอกจากนี้ บรรยากาศเชิงบวกยังได้แรงส่งจาก ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น ที่ลดภาษีสินค้าส่งออกญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดจาก 25% เหลือ 15% รวมถึง ข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และการเดินหน้าปฏิรูประบบธรรมาภิบาลของบริษัท (Corporate Governance Reforms) ที่เป็นมิตรต่อผู้ถือหุ้นมากขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมแรงหนุนให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดดเด่นเหนือภูมิภาคอื่นในไตรมาสที่ผ่านมา

มองไปข้างหน้า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมีแรงขับเคลื่อนสำคัญหลายด้านที่หนุนโมเมนตัมเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ แนวโน้มการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้นหลังการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ‘Sanae Takaichi ซึ่งคาดว่าจะเดินหน้านโยบายการคลังเชิงสนับสนุนเศรษฐกิจ โมเมนตัมการปรับประมาณการกำไรขึ้น (Earnings Revision Momentum) และความคืบหน้าของธีม ‘Corporate Change’ หรือการปรับโครงสร้างภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ปัจจัยเหล่านี้มีแนวโน้มจะช่วยเสริมทั้งพื้นฐานและ Sentiment ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะถัดไป


ตลาดหุ้นจีน

CSI 300 ของจีนแผ่นดินใหญ่ทรงตัว (+0.00%), Hang Seng ของฮ่องกง -3.53% MoM ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงเคลื่อนไหวผันผวนและปรับตัวลดลงในเดือนต.ค. หลังจากปรับขึ้นต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดในเดือนเม.ย. โดยแรงขายทำกำไรกลับมาเด่นชัดในช่วงที่ตลาดเริ่มขาดปัจจัยหนุนใหม่ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังรอความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ซึ่งรวมถึงการรีไฟแนนซ์หนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น, มาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์, การเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน, และโครงการสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ เช่น การนำสินค้าเก่ามาแลกซื้อสินค้าใหม่

อย่างไรก็ดี มาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญได้ในระยะสั้น แต่จุดแข็งของจีนยังอยู่ที่ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกซึ่งยังคงเติบโตได้ในอัตรา 7–8% ต่อปี แม้ต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นภายใต้นโยบายของสหรัฐฯ ในประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นักลงทุนในตลาดจีนและฮ่องกงยังคงจับตาอย่างใกล้ชิดต่อแนวโน้มกำไรของภาคเอกชน และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ของจีนว่าจะสามารถพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมใหม่ได้มากเพียงใด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นและหนุนทิศทางตลาดในระยะต่อไป



ตลาดหุ้นไต้หวัน
ดัชนี TAIEX ของไต้หวันในเดือน ต.ค. 2025 ปรับตัวขึ้นแรงกว่า +9.35% MoM และทำสถิติปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้แรงหนุนจากบรรยากาศเชิงบวกของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน ที่มีทิศทางผ่อนคลาย โดยเฉพาะประเด็นการส่งออกแร่หายาก (Rare Earths) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI

แรงขับเคลื่อนหลักมาจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ TSMC ที่รายงานผลประกอบการแข็งแกร่งและให้แนวโน้มเชิงบวกต่อธุรกิจ ชิป AI หนุนแรงซื้อในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ต่อเนื่อง สะท้อนบทบาทของไต้หวันในฐานะ ‘หัวใจของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก’ นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงหนุนเชิงโครงสร้างจากนโยบายผ่อนคลายของ Taiwan Stock Exchange Corporation (TWSE) ที่เปิดทางให้บริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพเข้าจดทะเบียนได้ง่ายขึ้น เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและยกระดับความสามารถในการแข่งขัน


ตลาดหุ้นอินเดีย

ในเดือนต.ค. 2025 ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นแรงสุดในรอบ 7 เดือน โดยดัชนี Nifty 50 และ BSE Sensex เพิ่มขึ้น +4.5% และ +4.6% ตามลำดับ ปิดเดือนต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้ในเดือนก.ย. 2024 เพียง 2.1%–2.4% สะท้อนแรงซื้อกลับอย่างแข็งแกร่งจากทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างชาติ แรงหนุนสำคัญมาจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่งกว่าคาด และมูลค่าหุ้น (valuation) ที่ยังอยู่ในระดับน่าสนใจ ดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติ (Foreign Institutional Investors: FII) กลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิ (Net Buyers) อีกครั้ง หลังขายต่อเนื่อง 3 เดือน โดยมีเงินทุนไหลเข้า (inflow) รวมกว่า 35,000 แสนล้านรูปี หรือราว 4.2 พันล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปี 2025 ขณะเดียวกัน บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกเริ่มคลี่คลายจากแนวโน้มเชิงบวกของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน ส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียกลับมาเป็นจุดสนใจของนักลงทุนต่างชาติอีกครั้งทั้งในมิติของการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสในตลาดเกิดใหม่ที่มีเสถียรภาพสูง


ตลาดหุ้นเวียดนาม
ตลาดหุ้นเวียดนามเดือน ต.ค. 2025 ปรับตัวอ่อนลง โดยดัชนี VN Index ลดลง -1.33% MoM หลังเผชิญความผันผวนจากปัจจัยภายในประเทศ แม้จะยังได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ว่า FTSE Russell อาจอัปเกรดสถานะเวียดนามจาก “Frontier” สู่ “Emerging Market” ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ช่วยดึงดูดเงินทุนต่างชาติในระยะกลางถึงยาว
แรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนเกิดขึ้นชัดเจนในวันที่ 20 ต.ค. เมื่อดัชนี VN Index ร่วงแรง -5.47% ภายในวันเดียว หลังรัฐบาลเปิดเผยผลสอบการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชน 67 บริษัท (รวมถึงธนาคาร 5 แห่ง) พบการใช้เงินไม่ตรงวัตถุประสงค์ การเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน และปัญหาการชำระหนี้ล่าช้า ซ้ำเติมแรงกดดันทางจิตวิทยาและส่งผลให้นักลงทุนลดความเสี่ยงและปรับพอร์ตในระยะสั้น อย่างไรก็ตามปัจจัยพื้นฐานระยะกลางของเวียดนามยังคงแข็งแกร่งจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง การส่งออกที่ฟื้นตัว และความคืบหน้าในการอัปเกรดสถานะตลาดทุนซึ่งยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อแนวโน้มตลาดในระยะถัดไป

 

ตลาดหุ้นไทย
ดัชนี SET Index ปิดเดือน ต.ค. 2025 ที่ระดับ 1,309.50 จุด +2.8% MoM)เคลื่อนไหวในกรอบ 1,266–1,346 จุด โดยได้แรงหนุนหลักจากผลประกอบการของ DELTA ที่ออกมาดีกว่าคาด ช่วยให้ตลาดกลับมายืนเหนือระดับ 1,300 จุดได้อีกครั้ง โดยต้นเดือนบรรยากาศการลงทุนในประเทศปรับตัวดีขึ้นหลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ‘คนละครึ่ง พลัส’ วงเงินรวม 44,000 ล้านบาท กลางเดือน ต.ค. ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวเล็กน้อยจากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน ก่อนจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณเตรียมพบกับ สี จิ้นผิง ในการประชุม APEC ซึ่งช่วยหนุนกระแสการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (risk appetite)

ปลายเดือน หุ้นไทยปรับขึ้นอีก +1.8% นำโดยกลุ่มธนาคารและพลังงาน จากผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาดและราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูง โดยดัชนี SET แตะระดับสูงสุดของเดือนที่ 1,345.86 จุด ตามแรงหนุนของหุ้น DELTA (+9.8%) ก่อนจะเผชิญแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และท่องเที่ยว ท่ามกลางบรรยากาศช่วงไว้อาลัย


ตลาดตราสารหนี้
ดัชนีพันธบัตรทั่วโลก Bloomberg Global Aggregate Bond Index ปรับลดลง -0.3% โดยได้รับแรงกดดันจากสัญญาณบวกด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ผ่อนคลายลง และผลประกอบการแข็งแกร่งของบริษัทสหรัฐฯ ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนโยกเงินจากพันธบัตรเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ขณะเดียวกันตราสารหนี้เอกชน (Credit) และตราสารที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Securitised) ยังอ่อนตัวต่อเนื่อง กดดันให้ตลาดพันธบัตรโลกโดยรวมปิดลบในเดือนนี้

อย่างไรก็ดีในฝั่งพันธบัตรรัฐบาลของประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market Government Bonds) ยังคงให้ผลตอบแทนแข็งแกร่ง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ (UK Gilts) ที่โดดเด่นที่สุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงราว 30bps หลังผู้ว่าการ BoE Andrew Bailey ส่งสัญญาณท่าที Dovish มากขึ้นจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปราะบาง หนุนความคาดหวังว่าธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยรวมราว 60bps ภายในสิ้นปี 2026 ขณะเดียวกันพันธบัตรรัฐบาลยูโรโซนให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น +0.9% MoM โดยเฉพาะอิตาลี (+1.2%) และสเปน (+0.9%) ที่ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลง 18bps และ 11bps ตามลำดับ ส่วนต่างผลตอบแทนเทียบกับ German Bunds แคบลงกว่า 10bps สะท้อนความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้นต่อพันธบัตรยุโรป

ตรงกันข้าม พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) เป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในเดือนต.ค. โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับขึ้นเล็กน้อย จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) จะเดินหน้าสู่การปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ (Policy Normalisation) ต่อไป ขณะเดียวกันนโยบายการคลังแบบขยายตัวของนายกรัฐมนตรี ซาเนะ ทาคาอิชิ (Sanae Takaichi) ยังเพิ่มความกังวลต่ออุปทานพันธบัตรที่จะสูงขึ้น

ส่วนในฝั่งตราสารหนี้เอกชน (Credit) เคลื่อนไหวผสมผสาน โดยกลุ่ม High Yield (+0.2%) ให้ผลตอบแทนเหนือกว่า Investment Grade (-0.1%) สะท้อนแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนเริ่มต้นที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเพียงพอชดเชยการขยายตัวเล็กน้อยของส่วนต่างผลตอบแทน (Credit Spreads) ได้

ทองคำ
เดือนต.ค. 2025 เต็มไปด้วยความผันผวนสำหรับตลาดทองคำ โดยราคาทองคำลดลงประมาณ -1.7% ในเดือนนั้น แต่หากดูภาพรวมทั้งปี พบว่าปรับขึ้นกว่า +50% และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ราว 4,381 USD/ออนซ์ ในช่วงกลางเดือน ต.ค. ปัจจัยหนุนคือ ความต้องการทองคำในฐานะ ‘สินทรัพย์ปลอดภัย (safe-haven)’ ที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงมุมมองแนวโน้มนโยบายลดดอกเบี้ยของ Fed

อย่างไรก็ดี ช่วงปลายเดือนทองเริ่มปรับตัวลงจากแรงขายทำกำไร (profit-taking) และทิศทางความเชื่อมั่นสินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มคลายตัว หลังข่าวการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนมีท่าทีดีขึ้น รวมถึงค่าเงิน USD ที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ทองคำในสกุลเงินอื่นมีต้นทุนสูงขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ



data-cke-saved-src=data:image/png;base64,iVBORw0KGgoAAAANSUhEUgAABDoAAABaCAMAAABuSMbCAAAAAXNSR0IArs4c6QAAAARnQU1BAACxjwv8YQUAAABmUExURQAAAACZmVC5uYDMzHDGxiCmphCfn0Czszivr////9/y8mC/vzCsrJfV1XjJya/f30i2tr/l5c/s7Cipqdfv7wicnO/5+ef19Rijo/f8/J/Z2cfp6Y/S0qfc3GjDw1i8vIfPz7fi4uaSTHQAAAABdFJOUwBA5thmAAAACXBIWXMAABcRAAAXEQHKJvM/AAAMI0lEQVR4Xu2dC3eqOhCFD1VBfLS+31XP//+TN7NnAijB2mhpb8/+1rr3QBqSweXsTCYB/xBCCCGEEEIIIYQQQsg/TkIIIZ+E0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDScQ8vnU63Z8dtkWaOvp0Q8tN4QDp6uWAnHzKQykM7+X8xgu352E4DfMXNZdLmwE4I+WlQOj5GlSPPX+28DqWD/HM8LB2dkpu+A+96s5oOK26ZkfXu6Vr5LUbO8Ek6zfOZFdT5ipujdJAfzcPSUWFqfwjih26PFbfM0Hr33OOafVdvnrzl+cIK6nzFzVE6yI+G0vEhy5WruHb/NSc7Hry5UZZlqR0XfCQdG3fR3I4JaR1Kx8dkoh3u9pZ2Xuexm5tv83xba/wj6ZCPf72xE0La5gHpSG1i35nJl3z6Qa6ja5U9VtwyMbkOd6fd3bST2UmIx25u7z6+gx2X9KShW/a5KVT+bseEtM0D0lGwE+n4Qi2Q0NxhZ+0zR/cjO3s6R/fpbSPCB0nf5hM7IaRl/g/SIcNraFy+lwkigZOdfZql5Dm+bmE5ddOVfGcnn2LqLlzbMSEt8wXS0Z9060m/YOHHLLNj9yTN54syGZBmx8mdCcL+pJNlcP1teUWaDU+1GCZs4CZ7PZ3RP5x7lL0cs3rKw1n5UisO9hKgK62XIU3vBCs2p1ocMs+6k4teXuTKFzshpF0ipQPpRp8WrUrHCxIfzlPfK1/9UGF6nq7MIcuEIGoV/tb/q+O9sPXOtexa4exsjX1oCyiChuFCC9bvpb8GrU6GMqwbolxn63ndqTpwYeXKGySEerkwtEAqFjtG+q7Ldd99JK7NRTXOyTT0cqXHshdJ3/61Y0La5bnS0as469ZvvgwWDnXVAoIRlo4UzXretDB5KdUk3x5RdIct5YxgVLk+H6sEBA1MNhfXixuX6yiLQt4urNyerTTUS4N0TKTQT8Yk7eE4v+q/7/7Ki3vZFlMvyAkXaMm38FTpSC8XKdXdg4V9meAL8lBZUDrmVe9z6FpDcZ0CP7/Llr/qhSNVLA+G7KCByeaydOU8tFLi05rXVqp2hHpxBKUDBlt8YYpRYpLSu7TFPosk6ciJhViEtMszpWN5MU47xCOChZb5dMhZUDpkxfICGWuxO6uKzAbuswVhx+ZSeZApCBuoDVVYXO7eMIEJWhnqRQhKBxrVyEH2d1yBz2J5pRxFYIaI5bpBQlrhmdKBtF0+GPaSTFOLKzc2BwsTDNb7U5Y1RR2aG111smWaqRfL2I2a+e6UjrqahxAPvs8WqMwBR38nm2Si4uUaDRuo+93W50nS76q2bJL9OVsm2UEdHI/D163cN/QihKQD/az0+K8c7+fIkozn0AtEMUik5uvXfjIaqlYNNIZK5XiLQ0Ja5pnSAT9Z6DKFOuS4oVA1wr+MIiAduiA6sHk8AnPxLxzYgA8/l8I7bXFhhwYtK33zBmq6WCJsII62WlMvK5YyVL8QUdWtdI4c7EUISQfK9I42cui6Wbo7c1MS3J+IjvZieeKlKpRmeZBirazOENIeT5SO5d+pw3sYCvfhwiTBQO6n7AHpUB922jI6djrDJc6ci+D6mbrqBrs1nMubLUPp6IYtsgOih4Fdx2x5qs15eoOBL1Lqs5fwUKdHBsRG4oEGKwO9gJB0jKVMc7jIkUJl+vIRlLX7x/HUplFeSKwVhF7+L4S0yVPTpFXmUngdTBeFGoMvxD+7IelAwnDmvFBmBwNNCLhyyyNup2+dchOG2YJBP4PX7q4GYnSLjGzyLkdYotApiRxVqFndz7JXnbCUN4h4QNy9wcqmXkLSgc9OJQqmj5O+aJaLKkK1Bf3o9O4hYtefPCFt8FTpkEFwcdB5uI7BLkAIFlrcLQxD0oHB+NWazjVP6MpH1UTi4FWXOarSYTjL6t3CqeFs2L1dOHXQQEe2m1a7Kz0UPYl0NFgZ7MUREgPEDdo00hhHu49xWftdBNZwiqEt6mQPHfsVYULa5JnSsVRPs3mIOVKw0IEWhF5IOuBGLhJH/VxThlJe1Yc8X5UtTW00VqZN3eL6GWTCO3VDzfR68SQgHTetvOxFCElHZeaGy08afLhYpqhd0a/yQ9JnV5CQ1ekOIe3yTOnQqb8V+/E7WJgkG++ZzhsC0oEJ/QSON8gy3XkBnZhcLKUid2i24GkwY9rQLZ4Xsbyid+pwzfqCaEA6GqwM9SKEpAPXaLZCjtzluv58KGvjXMGDspVLCksIaZtnSgfid+fPGG591iBYmPTUQWYHeSotIB1wvgzdiGeU0uEuzTqHYiZRXZw9nV1Er2seh4ZusZhq6x3eqcM14ZRgMd1BrgLS0WBlqBfh4kMzoKAadZgQqQb2ytpoVkFFHDHqIN/Mk9OkUAT4eMV/AoXII85sS2ZAOswLpWXJNlalQ+mf4bfi5Z+wpVq14tSBmvDj1VD7rDQqFNLRYGVDL5eGGpVcBwTKRROSKHGSWNSGupS9a4vMdZBvJlI64GL+oa1Knr88hCPohoVAITzTr4gGpAMedYIzylqCOaV6jS2t4CpZNvmELQ1OXa+pExcd2pulI2zlp6QDTeubC2HFqwYdbrZT1IbMWhDjqK6wIC9SPHVDSItESgcC+xwx/oUO4Hst33d9kEvdLVCIkMFLB/4O35cDSAfc6Cx+h3LvlAgP7DL1budCn7ClwanrNase3ywdDVbWe1FHx/TCyj2YLumUA39+Q6MXMgdpRFgjcF8H+RlESoc6se5H0M0WunkSQ+Z2aT64Vn8OFOI7by/73MAZMPLKAaQD3jmQC9CHd0qMsvbmDrSGwfh+Wxqko15Tl13EEqFJOhqsrPaiAgct04firqQDdXWjOgRsi2BKOi5aUVvWumK8hFxxNyn5dmKlQxdIdtnSHvzwb6uCe+zx/zKsqBfC6fLZaZRmHS2HM+BI/EYjCQHVvVNqX4NjlnXVhbDkcL8tDdIRqImZy3b8mg0740bpaLASvcwyfUAHurg6TPyzL1fSASv0GRYIGEAMU9qqH1Y+zjaZPU9j6olnWOwBGELaJVY6NNNQ4qNm9WileOduvfDq4XnnLXAGHIp06HgqINb3TmkLMwVb1L3flibpqNe0dReh2N3uKaSjwUr0Ioig6LNwJVfSoRdpRKGy4LiSudqzvf7pHzw5a8/WEdIusdLhh0JDZ+sOjfnBXmf4jkAhvvUla51j4BhyoBN8G4ALp7y+zETibluapKNes/ISjxvSEbayMFKaml+p3bV0oG29D9thYq1VbNWHaUu8NsKQ0i5CWiRaOhILwEHxIixzSMG2dguhwhMieWNq83WcQDq8HOjKYyEdybHiiSvbAXq/LU3SETCwfF3PDekIW6lbwrwElH6PidV1kICQSZdYfKiDoOPCVvnZyoKVX/jR1I+KLiEtEy8dyeagI/N6V/32omwx7Vx8o4OFJ81R5Ns3FQsHzu0Mb+QY6NaPUjrKd5Ouu0VUc7ctTdIRMjD1HR1uSEfYysk7dEczt0m6k7PZ+xx5UCsskdmIiowTRunS5nlVW90Mb2d6tB+Wkizt6vo3IW3zgHQIo8ym3SXz0C+WBAudDtz8eZW06bdPesGfTLzXliDhmpbqvEmjlRVSWIYgoYiUPBCUoonNjQ6dNbaJTsEER0MUQtrmQen44YjALDcaDvgEwXfR01xszdXxZqCo2KEarxDSMr9ZOtI3pxfpfj36RunY6MPy06llPOzVgFVkZhL96283gjZCvpJfLB1QjLMbmlfIPHyPdJQJWCXk6pIuqaVAPkaiGMuvEtI6v1U6kNm84EdIR3AlVV4y9vmwQ4KOdSVTTEirUDq+lgvp2N+btCXkx/O7pUOmAivbE/E90pHi5cvCMOY3dwn5qfxq6Ri6f1ajpb6y73ukg5Bfym+VjnmWYb/Fwf1Pdo9cbYkghDzGb5UOQsiXQukghERA6SCEREDpIIREQOkghERA6SCEREDpIIREQOkghERA6SCEREDpIIREQOkghERA6SCEREDpIIREQOkghERA6SCEREDpIIREQOkghETgpIMQQgghhBBCCCGEEEIIIYQQQgghhBBCCCGE/LP8+fMfyR8zReR3GvYAAAAASUVORK5CYII=
เศรษฐกิจสหรัฐฯ : เศรษฐกิจสหรัฐฯ เดือน ต.ค. 2025 ยังคงแสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นำโดยภาคบริการที่ขยายตัวแข็งแกร่ง ดัชนี ISM Services PMI พุ่งแตะ 52.4 (จาก 50.0 ในก.ย.) สูงสุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่ S&P Global US Composite PMI อยู่ที่ 54.6 สะท้อนกิจกรรมทางธุรกิจที่ขยายตัวอย่างมั่นคง โดยเฉพาะคำสั่งซื้อใหม่และผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันภาคเอกชนเพิ่มการจ้างงาน 42,000 ตำแหน่ง กลับมาเป็นบวกครั้งแรกตั้งแต่เดือน ก.ค.
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังเผชิญแรงกดดันต่อเสถียรภาพการเงิน โดยหนี้ครัวเรือนรวมพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.59 ล้านล้าน USD (+197 พันล้าน QoQ) ซึ่งอาจจำกัดกำลังซื้อของผู้บริโภคในระยะถัดไป ขณะเดียวกันการปิดหน่วยงานรัฐบาล (Government Shutdown) เริ่มส่งผลกระทบต่อกิจกรรมธุรกิจและความเชื่อมั่นในวงกว้าง หลายบริษัทรายงานว่าคำสั่งซื้อมีความล่าช้าจากการใช้จ่ายภาครัฐหยุดชะงัก

ด้านเงินเฟ้อ แรงกดดันด้านราคาเริ่มคลายตัวต่อเนื่อง โดยราคาสินค้าและบริการปรับขึ้นในอัตราช้าที่สุดตั้งแต่เดือน เม.ย. แม้ ‘ภาษีนำเข้าใหม่ของรัฐบาลทรัมป์’ เริ่มส่งผ่านสู่ราคาสินค้าบางหมวด แต่ผลกระทบยังจำกัด ขณะที่เงินเฟ้อภาคบริการและค่าเช่าอยู่ในทิศทางชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อที่อ่อนลงนี้เอื้อต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ช่วงเป้าหมาย 3.75–4.00% เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ระบุว่า “การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนธ.ค. ยังไม่ใช่ข้อสรุปแน่นอน” ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดความคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม


เศรษฐกิจยุโรป : เศรษฐกิจยูโรโซนเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยดัชนี HCOB Eurozone Composite PMI เดือนต.ค. 2025 เพิ่มขึ้นแตะ 52.5 สูงกว่าทั้งคาดการณ์ที่ 52.2 ถือเป็นระดับขยายตัวแรงสุดตั้งแต่ พ.ค. 2023 สะท้อนการฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาวะชะลอตัวตลอดปีที่ผ่านมา แรงหนุนหลักมาจากภาคบริการที่เติบโตเร่งขึ้น ขณะที่ภาคการผลิตขยายตัวเพียงเล็กน้อย ความต้องการที่แข็งแกร่งทำให้ยอดคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง และการจ้างงานขยายตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือน แม้ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจอ่อนลงเล็กน้อย

ด้านราคาดัชนี PPI เดือนก.ย. ลดลง -0.1% MoM ตามราคาพลังงานที่อ่อนตัว บ่งชี้แรงกดดันเงินเฟ้อจากต้นทุนเริ่มคลาย แต่ราคาขายสินค้าและบริการเพิ่มเร็วสุดในรอบ 7 เดือน สะท้อนว่าเงินเฟ้อในภาคบริการยังคงอยู่ ทำให้ ECB ยังคงท่าทีระมัดระวัง ทั้งนี้การประชุมครั้งล่าสุด เมื่อ 30 ต.ค. ECB มีมติคงดอกเบี้ยที่ 2% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน หนุนคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะทรงตัวตลอดวัฏจักรนี้


เศรษฐกิจจีน : เศรษฐกิจจีนกลับเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอีกครั้ง โดยทั้งการบริโภค การผลิต และการลงทุน เริ่มอ่อนแรงลงตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) ที่หดตัว -7% YoY ในเดือน ส.ค. ถือเป็นการลดลงแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2020 แม้แต่โครงการที่ภาครัฐเป็นผู้นำก็เริ่มแผ่วเช่นกัน แม้รัฐบาลจะเร่งออกพันธบัตรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่มาตรการการคลังยังจำกัดเนื่องจากงบประมาณจำนวนมากถูกใช้ไปกับการชำระหนี้ ขณะที่เงินคงคลังของรัฐบาลท้องถิ่นยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องเลือกใช้แนวทางระมัดระวัง แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังเติบโตใกล้เป้าหมาย 5%ด้านข้อมูลจากช่วง Golden Week ยังคงสะท้อนภาพการบริโภคและการท่องเที่ยวที่ซบเซา บ่งชี้ว่าแรงกดดันเงินฝืดยังคงอยู่ และรัฐบาลจีนยังต้องเผชิญความท้าทายในการพยุงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป

เศรษฐกิจใต้หวัน : เศรษฐกิจไต้หวันในเดือน ต.ค. 2025 ยังคงแสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ภาคการผลิตยังหดตัว โดยดัชนี S&P Global Manufacturing PMI อยู่ที่ 47.7 (จาก 46.8 ในก.ย.) ซึ่งเป็นระดับหดตัวช้าที่สุดในรอบ 5 เดือน สะท้อนการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อและผลผลิต ขณะที่แรงกดดันด้านต้นทุนเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในรอบ 15 เดือน ด้าน GDP ไตรมาส 3/2025 ขยายตัว +7.64% YoY สูงกว่าคาด จากแรงหนุนของการส่งออกสินค้ากลุ่ม AI และเซมิคอนดักเตอร์ที่เติบโต +30.6% YoY แม้อุปสงค์ในประเทศเริ่มชะลอ โดยการบริโภคในประเทศเพิ่มเพียง +0.49% (จาก +2.23% ใน Q2) ในด้านการค้า ไต้หวันและสหรัฐฯ มีความคืบหน้าในการเจรจาลดภาษีนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจะช่วยเสริมความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์และสนับสนุนการเติบโตในระยะกลาง โดยเฉพาะภาคส่งออกที่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ
 

เศรษฐกิจญี่ปุ่น : ชัยชนะของ ซาเนะ ทาคาอิชิ (Sanae Takaichi) ในการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค LDP และนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น สะท้อนการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจสู่แนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ (pro-stimulus) ซึ่งคาดว่าจะหนุนตลาดหุ้นและกดดันเงินเยนให้อ่อนค่า จากการใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัว โดยเฉพาะการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมและสวัสดิการสังคม แม้รัฐบาลชุดใหม่จะต้องบริหารแบบเสียงข้างน้อย หลังพรรค Komeito ถอนตัวออกไปก็ตาม
ด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ประกาศทยอยลดขนาดงบดุลผ่านการขาย ETF และ J-REIT แต่ในอัตราที่จำกัด ขณะที่ท่าทีผ่อนคลาย (dovish) ของทาคาอิชิอาจทำให้การขึ้นดอกเบี้ยรอบถัดไปเลื่อนออกไป โดยตลาดยังคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 0.75% ภายในสิ้นปี 2025 และ 1.0% ภายในสิ้นปี 2026
ขณะเดียวกันการประชุมสภากลยุทธ์การเติบโตของญี่ปุ่น (Growth Strategy Council) กลายเป็นอีกจุดโฟกัสสำคัญ เนื่องจากจะกำหนดทิศทางการลงทุนระยะยาวของประเทศในสาขา เทคโนโลยีขั้นสูง พลังงาน และอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ซึ่งมีแนวโน้มเป็น “ธีมหลัก” ของตลาดญี่ปุ่นในช่วง 1–3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่ม AI, Quantum Technology, Fusion Energy และ Defense Industry


เศรษฐกิจอินเดีย : ดัชนี HSBC India Composite PMI เดือน ต.ค. 2025 อยู่ที่ 60.4 สูงกว่าค่าประมาณการเบื้องต้นที่ 59.9 แต่ลดลงจากเดือนก.ย.ที่ 61.0 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน สะท้อนว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงเติบโตในระดับสูง แม้แรงส่งเริ่มชะลอลงเล็กน้อย ภาคการผลิตและบริการยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยอุปสงค์ใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงแต่ยังแข็งแกร่ง การชะลอตัวหลักมาจากภาคบริการ ขณะที่ภาคการผลิตกลับเร่งตัวขึ้นจากคำสั่งซื้อใหม่และการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ด้านราคาต้นทุนการผลิตปรับขึ้นอ่อนสุดตั้งแต่ส.ค. 2024 สะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงในวงกว้าง ทั้งผู้ผลิตและผู้ให้บริการ ขณะที่ราคาขายยังเพิ่มขึ้นในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แม้เป็นการปรับขึ้นที่ชะลอลงที่สุดตั้งแต่เดือนมิ.ย. โดยรวมสะท้อนว่าเศรษฐกิจอินเดียยังขยายตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เริ่มคลายตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป


data-cke-saved-src=data:image/png;base64,iVBORw0KGgoAAAANSUhEUgAABDoAAABaCAMAAABuSMbCAAAAAXNSR0IArs4c6QAAAARnQU1BAACxjwv8YQUAAABmUExURQAAAACZmVC5uYDMzHDGxiCmphCfn0Czszivr////9/y8mC/vzCsrJfV1XjJya/f30i2tr/l5c/s7Cipqdfv7wicnO/5+ef19Rijo/f8/J/Z2cfp6Y/S0qfc3GjDw1i8vIfPz7fi4uaSTHQAAAABdFJOUwBA5thmAAAACXBIWXMAABcRAAAXEQHKJvM/AAAMI0lEQVR4Xu2dC3eqOhCFD1VBfLS+31XP//+TN7NnAijB2mhpb8/+1rr3QBqSweXsTCYB/xBCCCGEEEIIIYQQQsg/TkIIIZ+E0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDSQQiJgNJBCImA0kEIiYDScQ8vnU63Z8dtkWaOvp0Q8tN4QDp6uWAnHzKQykM7+X8xgu352E4DfMXNZdLmwE4I+WlQOj5GlSPPX+28DqWD/HM8LB2dkpu+A+96s5oOK26ZkfXu6Vr5LUbO8Ek6zfOZFdT5ipujdJAfzcPSUWFqfwjih26PFbfM0Hr33OOafVdvnrzl+cIK6nzFzVE6yI+G0vEhy5WruHb/NSc7Hry5UZZlqR0XfCQdG3fR3I4JaR1Kx8dkoh3u9pZ2Xuexm5tv83xba/wj6ZCPf72xE0La5gHpSG1i35nJl3z6Qa6ja5U9VtwyMbkOd6fd3bST2UmIx25u7z6+gx2X9KShW/a5KVT+bseEtM0D0lGwE+n4Qi2Q0NxhZ+0zR/cjO3s6R/fpbSPCB0nf5hM7IaRl/g/SIcNraFy+lwkigZOdfZql5Dm+bmE5ddOVfGcnn2LqLlzbMSEt8wXS0Z9060m/YOHHLLNj9yTN54syGZBmx8mdCcL+pJNlcP1teUWaDU+1GCZs4CZ7PZ3RP5x7lL0cs3rKw1n5UisO9hKgK62XIU3vBCs2p1ocMs+6k4teXuTKFzshpF0ipQPpRp8WrUrHCxIfzlPfK1/9UGF6nq7MIcuEIGoV/tb/q+O9sPXOtexa4exsjX1oCyiChuFCC9bvpb8GrU6GMqwbolxn63ndqTpwYeXKGySEerkwtEAqFjtG+q7Ldd99JK7NRTXOyTT0cqXHshdJ3/61Y0La5bnS0as469ZvvgwWDnXVAoIRlo4UzXretDB5KdUk3x5RdIct5YxgVLk+H6sEBA1MNhfXixuX6yiLQt4urNyerTTUS4N0TKTQT8Yk7eE4v+q/7/7Ki3vZFlMvyAkXaMm38FTpSC8XKdXdg4V9meAL8lBZUDrmVe9z6FpDcZ0CP7/Llr/qhSNVLA+G7KCByeaydOU8tFLi05rXVqp2hHpxBKUDBlt8YYpRYpLSu7TFPosk6ciJhViEtMszpWN5MU47xCOChZb5dMhZUDpkxfICGWuxO6uKzAbuswVhx+ZSeZApCBuoDVVYXO7eMIEJWhnqRQhKBxrVyEH2d1yBz2J5pRxFYIaI5bpBQlrhmdKBtF0+GPaSTFOLKzc2BwsTDNb7U5Y1RR2aG111smWaqRfL2I2a+e6UjrqahxAPvs8WqMwBR38nm2Si4uUaDRuo+93W50nS76q2bJL9OVsm2UEdHI/D163cN/QihKQD/az0+K8c7+fIkozn0AtEMUik5uvXfjIaqlYNNIZK5XiLQ0Ja5pnSAT9Z6DKFOuS4oVA1wr+MIiAduiA6sHk8AnPxLxzYgA8/l8I7bXFhhwYtK33zBmq6WCJsII62WlMvK5YyVL8QUdWtdI4c7EUISQfK9I42cui6Wbo7c1MS3J+IjvZieeKlKpRmeZBirazOENIeT5SO5d+pw3sYCvfhwiTBQO6n7AHpUB922jI6djrDJc6ci+D6mbrqBrs1nMubLUPp6IYtsgOih4Fdx2x5qs15eoOBL1Lqs5fwUKdHBsRG4oEGKwO9gJB0jKVMc7jIkUJl+vIRlLX7x/HUplFeSKwVhF7+L4S0yVPTpFXmUngdTBeFGoMvxD+7IelAwnDmvFBmBwNNCLhyyyNup2+dchOG2YJBP4PX7q4GYnSLjGzyLkdYotApiRxVqFndz7JXnbCUN4h4QNy9wcqmXkLSgc9OJQqmj5O+aJaLKkK1Bf3o9O4hYtefPCFt8FTpkEFwcdB5uI7BLkAIFlrcLQxD0oHB+NWazjVP6MpH1UTi4FWXOarSYTjL6t3CqeFs2L1dOHXQQEe2m1a7Kz0UPYl0NFgZ7MUREgPEDdo00hhHu49xWftdBNZwiqEt6mQPHfsVYULa5JnSsVRPs3mIOVKw0IEWhF5IOuBGLhJH/VxThlJe1Yc8X5UtTW00VqZN3eL6GWTCO3VDzfR68SQgHTetvOxFCElHZeaGy08afLhYpqhd0a/yQ9JnV5CQ1ekOIe3yTOnQqb8V+/E7WJgkG++ZzhsC0oEJ/QSON8gy3XkBnZhcLKUid2i24GkwY9rQLZ4Xsbyid+pwzfqCaEA6GqwM9SKEpAPXaLZCjtzluv58KGvjXMGDspVLCksIaZtnSgfid+fPGG591iBYmPTUQWYHeSotIB1wvgzdiGeU0uEuzTqHYiZRXZw9nV1Er2seh4ZusZhq6x3eqcM14ZRgMd1BrgLS0WBlqBfh4kMzoKAadZgQqQb2ytpoVkFFHDHqIN/Mk9OkUAT4eMV/AoXII85sS2ZAOswLpWXJNlalQ+mf4bfi5Z+wpVq14tSBmvDj1VD7rDQqFNLRYGVDL5eGGpVcBwTKRROSKHGSWNSGupS9a4vMdZBvJlI64GL+oa1Knr88hCPohoVAITzTr4gGpAMedYIzylqCOaV6jS2t4CpZNvmELQ1OXa+pExcd2pulI2zlp6QDTeubC2HFqwYdbrZT1IbMWhDjqK6wIC9SPHVDSItESgcC+xwx/oUO4Hst33d9kEvdLVCIkMFLB/4O35cDSAfc6Cx+h3LvlAgP7DL1budCn7ClwanrNase3ywdDVbWe1FHx/TCyj2YLumUA39+Q6MXMgdpRFgjcF8H+RlESoc6se5H0M0WunkSQ+Z2aT64Vn8OFOI7by/73MAZMPLKAaQD3jmQC9CHd0qMsvbmDrSGwfh+Wxqko15Tl13EEqFJOhqsrPaiAgct04firqQDdXWjOgRsi2BKOi5aUVvWumK8hFxxNyn5dmKlQxdIdtnSHvzwb6uCe+zx/zKsqBfC6fLZaZRmHS2HM+BI/EYjCQHVvVNqX4NjlnXVhbDkcL8tDdIRqImZy3b8mg0740bpaLASvcwyfUAHurg6TPyzL1fSASv0GRYIGEAMU9qqH1Y+zjaZPU9j6olnWOwBGELaJVY6NNNQ4qNm9WileOduvfDq4XnnLXAGHIp06HgqINb3TmkLMwVb1L3flibpqNe0dReh2N3uKaSjwUr0Ioig6LNwJVfSoRdpRKGy4LiSudqzvf7pHzw5a8/WEdIusdLhh0JDZ+sOjfnBXmf4jkAhvvUla51j4BhyoBN8G4ALp7y+zETibluapKNes/ISjxvSEbayMFKaml+p3bV0oG29D9thYq1VbNWHaUu8NsKQ0i5CWiRaOhILwEHxIixzSMG2dguhwhMieWNq83WcQDq8HOjKYyEdybHiiSvbAXq/LU3SETCwfF3PDekIW6lbwrwElH6PidV1kICQSZdYfKiDoOPCVvnZyoKVX/jR1I+KLiEtEy8dyeagI/N6V/32omwx7Vx8o4OFJ81R5Ns3FQsHzu0Mb+QY6NaPUjrKd5Ouu0VUc7ctTdIRMjD1HR1uSEfYysk7dEczt0m6k7PZ+xx5UCsskdmIiowTRunS5nlVW90Mb2d6tB+Wkizt6vo3IW3zgHQIo8ym3SXz0C+WBAudDtz8eZW06bdPesGfTLzXliDhmpbqvEmjlRVSWIYgoYiUPBCUoonNjQ6dNbaJTsEER0MUQtrmQen44YjALDcaDvgEwXfR01xszdXxZqCo2KEarxDSMr9ZOtI3pxfpfj36RunY6MPy06llPOzVgFVkZhL96283gjZCvpJfLB1QjLMbmlfIPHyPdJQJWCXk6pIuqaVAPkaiGMuvEtI6v1U6kNm84EdIR3AlVV4y9vmwQ4KOdSVTTEirUDq+lgvp2N+btCXkx/O7pUOmAivbE/E90pHi5cvCMOY3dwn5qfxq6Ri6f1ajpb6y73ukg5Bfym+VjnmWYb/Fwf1Pdo9cbYkghDzGb5UOQsiXQukghERA6SCEREDpIIREQOkghERA6SCEREDpIIREQOkghERA6SCEREDpIIREQOkghERA6SCEREDpIIREQOkghERA6SCEREDpIIREQOkghETgpIMQQgghhBBCCCGEEEIIIYQQQgghhBBCCCGE/LP8+fMfyR8zReR3GvYAAAAASUVORK5CYII=

เศรษฐกิจเวียดนาม : เศรษฐกิจเวียดนามเดือน ต.ค. 2025 ยังคง ขยายตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง ได้แรงหนุนจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เบิกจ่ายจริง 21.3 พันล้าน USD (+8.8% YoY) และอนุมัติใหม่ 31.52 พันล้าน USD (+15.6% YoY) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 18 ปี ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจน โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.73 ล้านคน (+22.1% YoY) และยอดสะสม 10 เดือนแรกแตะ 17.17 ล้านคน (+21.5% YoY) ขณะที่การส่งออกเดือน ต.ค. ขยายตัว +17.5% YoY หนุนการเติบโตของภาคการผลิตและการจ้างงานในประเทศ
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 3.25% YoY (ลดลงจาก 3.38% ในก.ย.) และเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 3.30% ยังคงอยู่ในกรอบควบคุมได้ สะท้อนเสถียรภาพด้านราคา ขณะที่ยอดขายปลีกขยายตัว 7.2% YoY (แม้ชะลอจาก +11.3% ในเดือนก่อน) บ่งชี้ว่าการบริโภคภาคเอกชนยังคงแข็งแรง

เศรษฐกิจไทย : เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโต 2.1% ในปี 2025 (ปรับขึ้นจาก 1.9%) และ 1.6% ในปี 2026 ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “Quick Big Win” ของรัฐบาลภายใต้การนำของนาย อนุทิน ชาญวีรกูล อย่างไรก็ดีความตึงเครียดบริเวณชายแดนและการท่องเที่ยวที่ยังอ่อนแอยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้ง
ด้านการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% เมื่อการประชุมในวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมาโดยเสียงข้างมากเห็นว่าควรรอจังหวะและประสิทธิภาพของนโยบายให้ชัดเจนก่อน ขณะที่กรรมการ 2 คนเห็นควรให้ลดดอกเบี้ยทันทีเพื่อบรรเทาความตึงตัวด้านหนี้และสภาพคล่อง นักวิเคราะห์คาดว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะกลับมาในเดือน ธ.ค. โดย กนง. อาจลดดอกเบี้ย 25 bps สู่ 1.25% และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทยอยลดลงสู่ระดับ 0.75 – 1.00% ภายในกลางปี 2026 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำและเงินเฟ้ออยู่ในระดับอ่อนแรง

data-cke-saved-src=data:image/png;base64,iVBORw0KGgoAAAANSUhEUgAABDgAAABbCAMAAACh4cVaAAAAAXNSR0IArs4c6QAAAARnQU1BAACxjwv8YQUAAABmUExURQAAAACZmSCmpp/Z2b/l5f///4DMzFi8vPf8/IfPz7fi4njJyTCsrBCfn0CzsyipqTivrxijowicnEi2to/S0mC/v3DGxuf19d/y8sfp6ZfV1c/s7Kfc3FC5ue/5+a/f39fv72jDw4WGhmcAAAABdFJOUwBA5thmAAAACXBIWXMAABcRAAAXEQHKJvM/AAAKL0lEQVR4Xu2c61ryOhCFv3JSlBZBBUVBuf+b3DNr0jQtUzX4bFBZ7x/S2DTTPF2rOdV/hBBCCCGEEEIIIYQQcpEUhBCSCY2DEJINjYMQkg2NgxCSDY2DEJINjYMQkg2NgxCSDY2DEJINjYMQkg2NgxCSDY2DEJINjYMQkg2NgxCSDY2DEJINjYMQkg2NgxCSDY2DEJINjYMQkg2N4wgGw9FYmYRjQi4NGkc+V3ANgcZBLhUaRzaD6+AbNA5ysdA4sokdDhoHuVhoHNlMYRpX4YiQS4TGkc1QfeMmHBBykdA4srkdCbfhgJCLhMZBCMmGxkEIyebMxjErQyJhUM1D6mPKu5DoZbAIiZTPi33CLPymdGsaeCfNliGR4EXz1QYg5GwcYRz3OsZ/CAcY8D9KIicXlKvRWqcZn4Zt7VSa+TyMqxZaaCQ6bJUeTJ/1tPVo4ylUmW9e9IzR6yrxJrfYdiIXXmlqplW8SqIOu3qVs3c3McBy9aoXkPJVyBG6NV296eH4fXSPQ6N605tdjx6SzJ6b6DSAG8sH7UrICTjCOB71wR6FAywx6H6GnFxh+bDTI+MlfcNCN8JNeInjQHSalF4iHRiZXB9UPVGV5U34q7CDKQhesWIG8Y5fNI2qnyQRwn7QHyVI9NGJ+bCmp3DU3EIxty3q4CW4hBuN0mkAN5bediXkJJzJOJaJ3IRd8h6udTO+3uIY6ZZxdAo/QWCQZuyQvOMvNW6dVmyBXo+gym0bx4tZCsDr/zYcGDt0OpyaGuMYr21wskiy5L5ws240oNMAbix97UrIaTiTcbRVIxpp+hxRN0F2SLaMoy3g8fhNM2Ec06qq5IW+bAlVwEveLYarKirStnGkaCizkK55kjyvpjTLuioYyjTs1CTcaECnAdxY+tqVkNNwHuPYakrEsq9WQ+v+P+MMZTCZ2KRBkB1SqXGU9q3I670Utv7CQHLjYGBaFCsk3ifbamon6LyFXwwdhvVDVenBgXGsp486syCIISCA6+Gqun21S8nAxKvp6ea2qvYhHjVEc5z3zXb1aqay6YsGdBrAjaWnXQk5EecxDtOFTf8N0oPlBL2M4h52cq09Bfw1NQ57I9vgxj44095CNI6qWEKJeK8XS/TxdQbDL4ZMGxMdGseNBnOPpJyCOPc4cY7wNn5NYdBhnqK3hdQLbswGKFKFH43XAG4sPe1KyIk4i3Es9/pKDTOOxQK60U5BcbUOBhLe0ipTJFLjwDXrHgp6DLqNszaOaxGYXEawXeHQ2k4SfjF0AXqM48VmLHExORc1PE33Ohiay5hIf92aAjASrQMdBQhfbnaiLHui8RrAjQWZNA5yNs40xyFUpiQBCwYi+EqlNgyZWNOUYYczx9FwZ5131ARFTiaYHy3RO8D7fIAzNNWQFEPd66GW3HaNI6zC4mQ5N65riIzf9mEZ5IOacL7ejn0VtxttJlWyeBJponEbwI3lg3Yl5AScxThWkLgh9jHXfBm5T/RnF/wE/XudMdTfrnGU+4dRHJt4ooFo4SGpnJ1iCxsoKauOcaxRpql4kSzGitGFRV6/JgW3ozZgAwzj6c2GJ8JhNG4DuLH47UrIqTiLcSQK1K79EqkqGIh4hIL5U52bqDMTeUxsZjFyIJp7PWGN13siZ7dYiesqs45xHIQ9G7YugKGWXxOIxmGdh8izTYI40bgN4MbiB0jIqTiLcehvAKuQGLnLWxsTDhvNSeYb9LdtHN213APRLOFMYe4VZ2iqp5gNJGBhnxiHdDpWaSdB+g5+TUZjHMVja9UWk6luNF4DuLH0BUjIaTiLccAoDDzvePdug4ZVuAJeuDp7qL8t42j+A5e8kXEpXCQBY4PQu49y9ovZWojEOJp+ZhwznRBVzd+trJB0OdyaAolxyBUno2ZQJAX9aLwGcGPx25WQU3GscWCLthAf2pxcSGijOoQQF3qo038QbpgHxBBfl1qQlxqH7dUcTirt07uiSWUV5ewXwxTF7srmFT42DnQ1wt5U9BfkBLemQMs4wN3KBi3SufGj8RrAjaWViYt224CQ/5NjjWMcdivEZz4nF096/djX28H0JLx6dSklmIu7qoKM+vuTmJt+q5LKKsoZvwfFMDgIbpBhHHtNywluTYHaOBYaWf0xSt0g+DmIxmsAN5Y0c4kOG4oTciKONg57um2zgj60+blhhTFIBHsaoIt3TZmZqEyRSIzD9Fmva0bNpbJOZVXLuacYcuuFDtiBVp9eIJ4LuwtazzEOmwvWnoVgE8GLnmgs1W4ANxaMdMIQCbFYcUJOxNHGYXsobR1A9ZqTa2OT96AbCMz2P9nC5Vze/RAbZhGRlRhHiYzadaLmYBzhWxVPzj3FbNRkmTbfocMjV6z4uiRkYqgixbyaaqJx4LLhn5SGSZGeaLwGcGOx7WEwPKzrhOKEnIjjjWM8LYvSxuwqgJxc28c0XutqxAxaqLdtQwQP+42JAa93pNKhCqYH1quqmN/vm9y42PHQI2e/mO3qGm7FxLD9yip1xWqifrsql1u7lXpb52fGYXXciKPNVvCDt75ovAZwYzHjeS6L5crOtOKEnIhvGEeDij4nt/mY3eYIhTDIMEcJ9Hwdm5wzanKjcciprpz9YjYiEOpIdvqxmStW2xqf0NO3qYnGcdctKI7jR+M1gBtL6xNcYMUJOQ3HGsc6EQN6+jm5oteOllRfCs4PXNv2CKRT45g1ZR3j0G9VUq1FOfvFwkApci01tS/QnIt1jgaduXFrCkTj6BbUNuiJxmmAz2OBiVhxQk7DscYxmsV3nu2bzMkVmiwFExxK+NpceQ7/ogMHqXEkeyASzdXfquh0Sqq1Rs5usaLYICuws56PL1ZL1WDSwq/JaIyj3Y+w/7zRE81hA/TEgskZZVclxQk5DUcbR1EGNWww+MjKVcp9PTi43gSLUOqOw9M0fLLhGEdR2RxDR3MNPXLuKTYPEwqiwUnwtR6xNlcYj+yL2p6aQGIcxV0s+IYujdATzUED9MRSTi3qm4HfBoT8nxxhHAvduCXj+6KsJrfxH3Ln5AbuKukhXLW/GB1cSd6q+XJWBKbIOfiSvf5vN/Nqr0U7uTWxVmGp6VqsPcXK6l5qrepFjvYFuhXLqdvD+xNaNQkDPYy3PK+kT7RvNYEbzUED9MYyqFaTe3Vitw0I+T85wjgIIZfO94xDuwz6ggyHv5uffzN/qrnJr+Z7xhGWJMJnWb+cn38zf6q5ya+GxhGhcRDyVWgcERoHIV/lu3McWAr8G0/yz7+ZP9Xc5FfzPeOQZ/kvPck//2b+VHOTXwyNI4HGQcjXoHEk0DgI+RrfNY5Sdy02Wy5/Nz//Zv5Uc5NfzHeNgxBygdA4CCHZ0DgIIdnQOAgh2dA4CCHZ0DgIIdnQOAgh2dA4CCHZ0DgIIdnQOAgh2dA4CCHZ0DgIIdnQOAgh2dA4CCHZ0DgIIdn8I4QQQgghhBBCCCGEEEIIIYQQQgghhBBCCCGEEEI8/v37D1Un5h4tbk8xAAAAAElFTkSuQmCC

แนวโน้มตลาด
โดยภาพรวมแล้ว เดือนต.ค. ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินทั่วโลกให้ผลการดำเนินงานในเชิงบวก โดยทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล ต่างปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะหลังจากการเจรจาการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และจีน ในช่วงปลายเดือนช่วยลดความกังวลต่อประเด็นสงครามการค้า แม้ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน แต่ความเชื่อมั่นที่ฟื้นตัวแรงได้ผลักดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ซึ่งหมายความว่า ‘ข่าวดีส่วนใหญ่ได้สะท้อนอยู่ในราคาแล้ว’ และตลาดมี ‘พื้นที่สำหรับความผิดพลาด (margin for error) ที่จำกัด

ดังนั้น จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรง โดยสถานการณ์ปัจจุบัน ‘ตลาดการเงินโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะระมัดระวังมากขึ้น’ หลังแรงขับเคลื่อนจากธีม AI ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนสำคัญในช่วงที่ผ่านมาเริ่มชะลอตัว ขณะเดียวกันความกังวลต่อมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูง (valuation) กดดันให้นักลงทุนลดความเสี่ยงแม้ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ยังแข็งแกร่ง แต่ความไม่มั่นใจต่อราคาที่สะท้อนการเติบโตไปล่วงหน้ามากเกินไปเริ่มส่งผลต่อกระแสเงินทุน อย่างไรก็ตามมุมมองต่อหุ้นเทคโนโลยียังเป็นบวกในเชิงโครงสร้าง (structural positive) เนื่องจากการลงทุนใน ‘โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI (AI infrastructure) ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง’ แม้ตลาดอาจเผชิญแรงพักฐานระยะสั้นก็ตาม

ขณะที่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจำกัดแรงหนุนของสินทรัพย์เสี่ยง และกระตุ้นให้นักลงทุนโยกเงินเข้าสู่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasuries) และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ซึ่งถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะตลาดที่กลับมาระมัดระวังมากขึ้น ภาวะดังกล่าวสะท้อนว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วง ‘พักฐานเชิงเทคนิค’ (technical consolidation) มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแนวโน้มขาลง โดยนักลงทุนเริ่มบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบมากขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักลงทุนยังคงจับตาทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างใกล้ชิด หลังเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายส่งสัญญาณที่ ‘ไม่เป็นเอกภาพ’ เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ย ทำให้ตลาดขาดความชัดเจนว่าจะมีการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. หรือไม่ ซึ่งอาจเพิ่มความผันผวนให้กับสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น

ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม โดยข้อตกลงหยุดยิงทางการค้าที่เปราะบางยังไม่สามารถแก้ไขประเด็นสำคัญด้านการส่งออกเทคโนโลยีได้ โดยสหรัฐฯ ระบุเมื่อต้นสัปดาห์ว่า ‘ชิป Blackwell ของ Nvidia’ จะถูกสงวนไว้สำหรับการใช้งานภายในประเทศเท่านั้น

ทางด้านผู้บริหารในวอลล์สตรีทหลายรายเริ่มส่งสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ของ ‘การปรับฐานตลาด’ หลังตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดย ‘David Solomon’ จาก Goldman Sachs และ ‘Ted Pick’ จาก Morgan Stanley เห็นพ้องว่าตลาดอาจย่อตัวลงในกรอบ 10–20% ภายใน 12–24 เดือนข้างหน้า ซึ่งถือเป็น ‘Healthy Correction’ มากกว่าสัญญาณวิกฤตหากไม่ได้เกิดจากปัจจัยเศรษฐกิจลบรุนแรง ด้านนักวิเคราะห์จาก ‘Citigroup’ ระบุว่านักลงทุนยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางตลาด โดยมีการเพิ่มสถานะ Long ใน S&P 500 สะท้อนความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มขาขึ้น ขณะที่ Nasdaq 100 ทรงตัวจากแรงซื้อขายที่สมดุล ส่วน หุ้นขนาดเล็ก (Small caps) มีแรง Short เพิ่มเล็กน้อย สะท้อนแรงขายทำกำไรบางส่วน โดยรวมแล้วตลาดยังอยู่ในภาวะ ‘Bullish Bias’ แม้ความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรยังอยู่ในระดับจำกัด แต่ระดับการเก็งกำไรที่สูงขึ้นจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป

โดยสรุป นักกลยุทธ์มองว่าการปรับฐานที่เกิดขึ้นในรอบนี้ไม่ใช่สัญญาณลบ หากแต่เป็น ‘Healthy Correction, ที่ช่วยให้ตลาดกลับมาสมดุล หลังจากที่ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงต่อเนื่องและเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา โดยแรงย่อตัวในระยะสั้นถือเป็น “กระบวนการปรับฐานตามกลไกตลาด” ที่จำเป็น เพื่อคลายความร้อนแรงจากมูลค่าหุ้นที่ปรับขึ้นต่อเนื่องและลดแรงกดดันของการเก็งกำไร การพักตัวลักษณะนี้ช่วยให้ตลาดสร้าง ‘ฐานที่มั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น’ สำหรับการเข้าสู่รอบขาขึ้นถัดไป มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนทิศทางของวัฏจักรตลาด โดยเฉพาะเมื่อแรงขายรอบนี้เกิดขึ้นหลังจากตลาดปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งหากปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุน ภาวะตลาดหลังจากนี้อาจกลับเข้าสู่รอบขาขึ้นระยะถัดไป ภายใต้ความหวังของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่เอื้อตลาดมากขึ้น

 

กลยุทธ์การลงทุน
ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่ยังเปราะบางและผันผวนจากแรงปรับฐาน ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และภาวะปิดหน่วยงานราชการ (Government Shutdown) ที่ยืดเยื้อจนกลายเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ เทียบเท่าสถิติปี 2018–2019 สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บลจ. LH Fund มีมุมมองกลยุทธ์การลงทุน ดังนี้

1.  การกระจายการลงทุนทั้งในมิติของสินทรัพย์และภูมิภาคยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญ ในการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในแนวทางหลักคือ การ ‘เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นโลก (Global Equity)’ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยเฉพาะประเทศและสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวม ขณะเดียวกัน ‘การจัดสรรบางส่วนไปยัง ตราสารหนี้คุณภาพสูงระดับโลก (Global Investment Grade Bonds)’ ช่วยเพิ่มความเสถียรให้พอร์ตและเสริมประโยชน์ด้านการกระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง

2.  เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ แต่เน้นใช้ ‘กลยุทธ์แบบ Selective’ โดยคัดเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ระยะยาว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่ม AI Ecosystems ที่ยังคงเป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระดับโลก อาทิ Quantum Technology, Space Economy และ Nuclear Energy อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยแรงหนุนกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับสูง (P/E ประมาณ 23 เท่า) ส่งผลให้เริ่มเห็นแรงขายทำกำไร (profit-taking) ซึ่งก่อนหน้านี้ บลจ. LH Fund ได้แนะนำให้นักลงทุนทยอย ‘Take Profit’ บางส่วนในกองทุน Thematic อาทิ LHQTUM และ LHESPORT รวมถึงกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง LHGOLD เพื่อปรับพอร์ตให้สมดุลมากขึ้น
สำหรับในระยะต่อจากนี้ ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ‘กำลังเผชิญภาวะผันผวนสูง’ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรมีสติ ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป แต่ควร ‘ปรับพอร์ตอย่างรอบคอบ’ และใช้จังหวะที่ ‘ตลาดอ่อนตัว’ เป็นโอกาสในการ ‘ทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดีเข้าพอร์ตในราคาที่เหมาะสม’ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและแนวโน้มเติบโตระยะยาว

3.  เรามองเห็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไต้หวัน ภายใต้บริบทที่การกระจายการลงทุนบางส่วน (diversification) ออกจากตลาดสหรัฐฯ ที่มีความกระจุกตัวสูง (highly concentrated) เพื่อมุ่งสู่ภูมิภาคที่มีโอกาสเติบโตพร้อมความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน (balanced risk-reward) ซึ่งไต้หวันโดดเด่นด้วยบทบาทศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และชิป AI ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันตลาดมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มูลค่าหุ้นยังไม่ตึงตัว และให้ผลตอบแทนปันผลที่มั่นคง จึงเป็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุน

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทย เป็นอีกหนึ่งตลาดที่ยังมีความน่าสนใจในเชิงมูลค่า (Valuation) ที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาค ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ จากการบริโภคภาคเอกชน การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐที่ทยอยเร่งตัวขึ้น ภาคธุรกิจหลายกลุ่ม โดยเฉพาะ การเงิน พลังงาน และสื่อสาร ยังมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนในเชิงปันผลที่สูงและได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในปีหน้า

 
data-cke-saved-src=data:image/png;base64,iVBORw0KGgoAAAANSUhEUgAABDgAAABaCAMAAABqvRb/AAAAAXNSR0IArs4c6QAAAARnQU1BAACxjwv8YQUAAABmUExURQAAAACZmTCsrKfc3L/l5YDMzBCfn1i8vP///9/y8hijo+/5+ZfV1dfv70Czs8fp6WC/v6/f33DGxiipqUi2tiCmpmjDw7fi4gicnIfPz5/Z2Tivr3jJyVC5uff8/I/S0s/s7Of19bkP6dcAAAABdFJOUwBA5thmAAAACXBIWXMAABcRAAAXEQHKJvM/AAAFtElEQVR4Xu3dXVfqOBiGYQstFJCiKAqKqP//T+68Hy2waJ2dtGscmPs6IYmh7pM8O03SegcAAAAAAHALMgCIRHAAiEZwAIhGcACIRnAAiEZwAIhGcACIRnAAiEZwAIhGcACIRnAAiEZwAIhGcACIRnAAiEZwAIhGcACIRnAAiEZwAIh288ExGud5Xky8BmAItx4c01LN5l4HMIBbD45FCI08JMfY6wAGcOPBMQqZMcruy3LpDQAGcOPBMQ/BUVTLslx5A4AB3PqtitymiAevAxjArQfH/FFiY7H2KoAh3HpwZNnT87piNxYY1O0HB4DBERwAoqUGx+aleH0tHqqt182kKnb5Y/Hy5HU3ecvzYvrutWxUBLJaudkXxbpublrFh1QqKa2ltDlp6eh3or3HaF+85uFfbM0AekgLjkqXHMXh87h+MN8tvLVcne1ibKxx9mzVB6nk2dx3PPLRaat5k0ohpZmUwmhvWtr7jarAj4e29viST7FsAgxAoqTg0JFZm4XpgHo+eIsan8xFPDjK8k1TxgZ29a1NwUIHfL/g0BDytGrtodcxn/4jAIlSguMsN0JyWESc50aYdByTowmO8lGq+v1mchK8Nq3/SnCUH/4zAGkSgmPuCbHKl1bQQxJyuFvM6tZyp73FMTh0zB6DJ/dZh0xaBgiOpTwI2xkcizz39Pg+X5kBECkhOD5l7B30f/epZoiOUVv1WMmy6LbQcmlrF5neiEyqV22T6YkHx2EdynoxCYYhgkOEf1drj50ubVS21MGUA+glITh0jB5sofNFyrNQmOvcYeYrpR9SKe+luC0OvhppGTFtgiOUwve0+BJKAwVHmLx0XElt9BZp7zUASZLXOA46kXiSYqmtk6p49DmGzz8kUKYhUHzYbjVbQsWCw1t1xEt5mOCQp2B/Co5sLHUesgd6SQmObCeDT2YJvnqhjWcqbd9Yz/qR9r1Uwpi14PDNmH8IhL8NjlM/9tDbqPqHAJKkBMdElz/1kFcTHM0xiWBb34FUfs/iGaGVLx/Y4VMRHMD1SQkOvQ9502ITHDq+jUaCrpp+ZFv99CUF3XhZdA1sggO4GgnBYWFhpzSb4GhOc/n5Kq1PfUnB36LzLuVvggO4egnBoePSs6AJjpV8znIhe51bbQ/jXTt7yuiLg8MX2wd2x3AnOID/ntTg8KHXBIfevhw3K2y35SnLJnqvogupth9bL45eDOyzVl1F+YvgaPp1PqtyvJIhOID+hgoOHY+L5kSmHRKTqp770t524jSM4R+Cw5dMLXd0uLcHx0U/3Y49PXJ+eSVDcAD9DRUcNkDrU+YbzQidgOgRsYMcDNPljvK5Kzh0B3ehbVvbo2kPjvZ+p8HRcSVDcAD9DRUcdkvg+yfvtlSqB7ttY/Yhe7Ij5zIRaA8Ou5Tc1Gyta0dwtPfT4PBnVTquZAgOoL/BgsOOfJXL+2KX63yj7qJD+rvedZHj5+3BYTu45bLY1X219SI42vvVJ0d11tF+JUNwAP0NFhz+KMrRwo996XnR2vGx+svgaF4OVOsIjtZ+TXDIb22/kiE4gP6GCw75e2knZvVzK9bFvOnqaUdw1I/rB7kO/Y7gaO1XB4ceb2+/kiE4gP4GDI5sXd8ZBGPfGg2a0+gLf5q9Iziyj/r7nyetl8HR3u/MDz0IDqC/hOA4fRfwRMrHYfk8zpflIc/3x9jIshdNjq/Hdd3Y+brhyT7/Llf376etFy8rDtr6nevuUUm9/uUAkiQEB4D/O4IDQLRfDg5dcbBX/gC4GgQHgGgEB4BovxwcD7luuRAcwFX59cVRPapOcABXheAAEI3gABDt14NjJG8b5O+cAFfl14MDwPUhOABEIzgARCM4AEQjOABEIzgARCM4AEQjOABEIzgARCM4AEQjOABEIzgARCM4AEQjOABEIzgARLsDAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAKDN3d0fqbqeCba/1fgAAAAASUVORK5CYII=

LHGEQP
กองทุนหุ้นโลกที่กระจายการลงทุนตามดัชนีอ้างอิง MSCI ACWI ลงทุนใน iShares MSCI ACWI ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ครอบคลุมทั้งประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาวจากหุ้นทั่วโลก พร้อมกระจายความเสี่ยงด้านภูมิภาคอย่างสมดุล

LHGIGO
กองทุนตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก ลงทุนใน Man Global Investment Grade Opportunities (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก ในระดับ Investment grade มุ่งเน้นความมั่นคงของพอร์ต ผ่านกลยุทธ์การคัดเลือกผู้ออกตราสารรายตัว เพื่อเลือกลงทุนในเครดิตคุณภาพสูง เหมาะสำหรับการรับมือกับภาวะตลาดที่ผันผวนและลดความไม่แน่นอนจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก

LHSPACE                                                               
กองทุนธีมเศรษฐกิจอวกาศ ลงทุนใน Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV เน้นธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมอวกาศ (Space Economy) เช่น การปล่อยดาวเทียมและยานอวกาศ การปล่อยดาวเทียมและยานอวกาศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม การสังเกตการณ์โลก (Earth Observation) และระบบนำทางและ GPS ซึ่งจะมีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต

LHQTUM                                                             
กองทุนธีมควอนตัมเทคโนโลยี ลงทุนใน Defiance Quantum ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานของ Quantum Technology และ AI พร้อมคัดเลือกบริษัทที่สะท้อนธีมควอนตัมอย่างแท้จริง เพื่อคว้าโอกาสจากเมกะเทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

LHNUKZ                                                               
กองทุนธีมควอนตัมเทคโนโลยี ลงทุนใน Range Nuclear Renaissance Index ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจที่อยู่ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ (Nuclear Value Chain) โดยเน้นบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากกระแส ‘Nuclear Renaissance’ และความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

LHTWGHD                                                              
กองทุนลงทุนในหุ้นไต้หวัน ลงทุนใน CTBC TIP Customized Taiwan Growth and High Dividend ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAVมีกลยุทธ์ที่ผสานการลงทุนในหุ้นเติบโตกับหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง โดยลงทุนในไต้หวันซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และซัพพลายเชนระดับโลก


 

Source: : LHFUND, Trading Economy, investing.com, JPMorgan, , CNBC, Reuters, Financial Times
Data as of: 7 Nov 2025
 

เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือ
ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน










  

 



 

 

กรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ