LAND AND HOUSES FUND MANAGEMENT CO.,LTD

ข่าวสารและกิจกรรม

สรุปภาวะตลาด




สรุปภาพรวมการลงทุนในเดือนที่ผ่านมา 

ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความปั่นป่วน โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลง
-1.42%, ดัชนี Nasdaq -3.97% เช่นเดียวกันกับ ดัชนี Nikkei225 ของญี่ปุ่นซึ่ง -6.11%  ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นยุโรป และจีนที่มีผลตอบแทนเป็นบวก โดยดัชนี STOXX 600 ของยุโรป ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น +3.27%,  CSI 300 ของจีน +1.91% และ Hang Seng ของฮ่องกง +13.58%


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก แคนาดา และ เม็กซิโก ในอัตรา 25% โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ เม็กซิโกเตรียมประกาศมาตรการตอบโต้ในสุดสัปดาห์นี้ ทางด้าน แคนาดาประกาศจะเก็บภาษี 25% กับสินค้าสหรัฐฯ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางทำเนียบขาวได้ขยายระยะเวลาบังคับใช้ออกไปอีก 1 เดือน เพื่อเปิดทางสำหรับการเจรจาเพิ่มเติม นับเป็นการขยายระยะเวลาเป็นครั้งที่สอง
นอกจากนี้ Trump ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีกอีก 10% ซึ่งมีผลไปเมื่อวันที่ 4 มี.ค. เช่นกัน โดยจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสูงสุด 15% กับสินค้าเกษตร เช่น ไก่ ข้าวสาลี ข้าวโพด ฝ้าย และ 10% กับถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง เนื้อหมู เนื้อวัว ผักและผลไม้ อาหารทะเล และนม
 
ซึ่งแนวทางกีดกันทางการค้าที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ นี้ ยังคงสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคธุรกิจทั่วโลก
 
อีกหนึ่งประเด็นที่สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดคือ การปะทะคารมระหว่าง Trump กับประธานาธิบดี Zelensky ของยูเครน ผ่านการถ่ายทอดสดจากทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 28 ก.พ. โดยการเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนและการจัดสรรแร่ธาตุหายากยังไร้ข้อยุติ ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจล่าสุดที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นด้วยกับ Trump ว่าสหรัฐฯ ไม่ควรใช้เงินภาษีสนับสนุนสงครามในยูเครนต่อไป และควรเร่งผลักดันการเจรจาสันติภาพ
 
ขณะเดียวกัน Elon Musk และองค์กร DOGE ซึ่งมีบทบาทในการปฏิรูปภาครัฐ ได้ปลดข้าราชการจำนวนมากในหลายหน่วยงาน
 
นอกจากนี้ รัฐบาล Trump เตรียมประกาศนโยบายการค้าอย่างเป็นทางการผ่าน America First Trade Policy Review ในวันที่ 1 เม.ย.  นั่นหมายความว่า ความเสี่ยงด้านภาษี ยังไม่จบ และนักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ถึงทิศทางและผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐบาล Trump ว่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจและตลาดสินทรัพย์ทั่วโลกอย่างไรต่อไป


ตลาดหุ้นยุโรป

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากการนำขึ้นของหุ้นกลุ่ม ธนาคาร (Banks), อุตสาหกรรม (Industrials), โทรคมนาคม (Telecom), อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) และ วัสดุก่อสร้าง (Construction & Materials)
 
แรงส่งสำคัญมาจากการที่นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดกระแส Rotation ของเม็ดเงินกลับเข้าสู่หุ้นกลุ่มเศรษฐกิจดั้งเดิม (Old Economy) ซึ่งมีสัดส่วนสูงในตลาดยุโรป นอกจากนี้ มุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจยุโรปในปีนี้เริ่มชัดขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนหลัก 4 ข้อ ได้แก่:
1. ความหวังในการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
2. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้มากกว่าสหรัฐฯ
3. ทิศทางการเมืองในยุโรป ที่อาจเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจและผ่อนคลายกฎระเบียบต่อธุรกิจ
4. ค่าเงินยูโรอ่อนค่า ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการผลิตและการส่งออกของยุโรป
 
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มกลาโหมยุโรปกำลังพุ่งแรง โดย Saab ของสวีเดน Leonardo ของอิตาลี และ Thales ของฝรั่งเศส ต่างปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% จากการที่ยุโรประบุว่ายังคงจะให้ความช่วยเหลือแก่ยูเครน
 
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องจับตา ประเด็นสงครามทางการค้า เนื่องจาก Trump เน้นวิจารณ์ภาษีนำเข้าของยุโรปหนักขึ้นในช่วงหลัง จุดอ่อนสำคัญของ EU คือ ต้องให้ 27 ประเทศสมาชิก ตกลงกันก่อน จึงจะเจรจาอะไรได้กับสหรัฐ ซึ่งทำให้ยุโรปกลายเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอและกดดันได้ง่าย


ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลงในเดือนก.พ. 2025 แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) สูงเป็นประวัติการณ์ ตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่ง แต่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังถูกกดดันจากปัจจัยลบ ได้แก่  ตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) เดือนล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6% YoY สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 2.2% สร้างความกังวลว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะขึ้นดอกเบี้ยไวกว่าคาด ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น

ตลาดหุ้นฮ่องกง

ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในเดือนก.พ. โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Technology ซึ่งกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อหุ้น Big Tech จีน ปัจจัยสำคัญที่หนุนความเชื่อมั่นคือ การเปิดตัว DeepSeek ซึ่งเป็น AI Model จากจีนที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ AI จากสหรัฐฯ แต่มีต้นทุนที่ถูกกว่ามาก สะท้อนถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของจีนที่สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แม้จะเผชิญกับมาตรการกีดกันทางเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ
 
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ยังได้จัดประชุมพิเศษกับผู้นำภาคธุรกิจเทคโนโลยี พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน


ตลาดหุ้นอินเดีย

ดัชนี Nifty 50 เผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow Outflow) ที่โยกย้ายเงินทุนไปยังตลาดหุ้นจีน ซึ่งกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในฐานะตลาดหลักของกลุ่ม Emerging Markets จากกระแสการเติบโตของ DeepSeek และความคาดหวังเชิงบวกต่อภาคเทคโนโลยีของจีน
 
แม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และธนาคารกลาง (RBI) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นการเติบโต แต่แรงดึงดูดของตลาดจีนในระยะสั้นกลับมีน้ำหนักมากกว่า


ตลาดหุ้นไทย

ดัชนี SET ปรับตัวลดลง 8.4% ในเดือนก.พ. ส่งผลให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ติดลบ 14.0% สาเหตุหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้ารอบใหม่ หุ้นกลุ่มที่ปรับตัวลงหนักสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) ขนส่ง (Transportation) ก่อสร้าง (Construction)

ข้อมูลทางเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา

เศรษฐกิจสหรัฐฯ : ภาคการผลิตชะลอตัวลงเล็กน้อย ISM Manufacturing (ก.พ.) ลดลงสู่ 50.3 จุด แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ขยายตัวจากออเดอร์ใหม่ทั้งในและต่างประเทศที่ลดลง เงินเฟ้อชะลอตัว แต่ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมาย โดย PCE (ม.ค.) เพิ่มขึ้น 0.3% MoM และ 2.5% YoY (ชะลอจากเดือนก่อน) ขณะที่ Core PCE เพิ่มขึ้น 0.3% MoM และ 2.6% YoY (ชะลอจาก 2.9% เดือนก่อน)

การใช้จ่ายผู้บริโภค (Personal Spending) หดตัว -0.2% MoM (สวนทางตลาดคาดที่ +0.2%) การนำเข้าสินค้า (Goods Imports) ขยายตัวแรง 25.5% ส่งผลให้ขาดดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 153,000 ล้านดอลลาร์ GDPNow ของ Fed Atlanta หั่นคาดการณ์ GDP Q1 ลงเป็น -2.8% จากเดิมที่ -1.5%

เศรษฐกิจยูโรโซน : เงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เบื้องต้น ของยูโรโซนเดือน ก.พ.ชะลอตัวลงเล็กน้อยเป็น 2.4% YoY จาก 2.5% เดือนก่อน สูงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 2.3% YoY ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ขยายตัว 2.6% YoY สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.5%YoY 

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) เดือน ก.พ. ปรับตัวเพิ่มขึ้น +1.0 จุด อยู่ระดับที่ 47.6 จุด จากระดับ 46.6 จุด ในเดือนก่อน สูงกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ดี ดัชนีภาคการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์หดตัว (ต่ำกว่า 50 จุด) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 32 

ECB เดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องโดยล่าสุดลดลง 0.25% เมื่อวันที่ 6 มี.ค. โดยตลาดคาดการณ์ลดลงอย่างน้อยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ประเด็นทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด


เศรษฐกิจญี่ปุ่น : ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเดือน ก.พ. ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 49.0 จากระดับ 48.7 ในเดือน ม.ค. โดยผลผลิต (Output) ปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 เช่นเดียวกับยอดคำสั่งซื้อใหม่ (New orders) ที่ยังคงปรับลดลง ด้านดัชนีในภาคบริการปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53.1 จากระดับ 53.0 ในเดือนก่อน ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. ด้านราคาปัจจัยการผลิต แม้ชะลอตัวลง แต่ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ขณะที่ ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจอ่อนแอลงเนื่องจากความกังวลในเรื่องของปัญหาการขาดแคลนแรงงานและแรงกดดันเงินเฟ้อ
 

เศรษฐกิจจีน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Official Manufacturing PMI) ในเดือน ก.พ.  ของจีนปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.2 จากระดับ 49.1 ในเดือน ม.ค. สูงกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 49.9 โดยการขยายตัวของภาคการผลิตดังกล่าวมาจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตและยอดคำสั่งซื้อใหม่ ทั้งนี้ ตัวเลขในเดือน ก.พ. อาจออกมาดีกว่าความเป็นจริง เนื่องจากมีผลตามฤดูกาลจากวันหยุดเทศกาลตรุษจีน

 
ด้านดัชนี PMI นอกภาคการผลิตในเดือน ก.พ. ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 50.4 จากระดับ 50.2 ในเดือน ม.ค. สอดคล้องกับตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.4 โดยดัชนีได้รับแรงหนุนจากภาคการก่อสร้างเป็นสำคัญที่มีการเริ่มก่อสร้างโครงการลงทุนต่าง ๆ ทั้งนี้ กิจกรรมในภาคบริการทรงตัวในเดือน ก.พ.
 
นายกรัฐมนตรี "หลี่ เฉียง" ของจีน แถลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในที่ประชุมสภาประชาชนวันแรก เมื่อ 5 มี.ค. ผ่านมา โดยมุงหวังกระตุ้นการบริโภคในประเทศไปสู่เป้าหมาย GDP  5% ในปี 2025   
- เพิ่มขาดดุลงบประมาณเป็น 4% สูงสุดรอบ 3 ทศวรรษ
- คงเป้าจีดีพีประมาณ 5% มั่นใจทำได้
- ลุยก่อหนี้ออกพันธบัตรพิเศษเพิ่ม
- ลดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเหลือ 2%
- กระตุ้นการบริโภค
- เพิ่มสวัสดิการให้ประชาชน
- เพิ่มงบกลาโหม 7.2% ปีนี้



เศรษฐกิจใต้หวัน :GDP 4Q24 โต 1.84%YoY ทั้งปี 2024 โต 4.3% สอดคล้องกับคาดการณ์ ตลาดขับเคลื่อนโดยการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากกระแส AI/เซมิคอนดักเตอร์ เงินเฟ้อ ม.ค. ขยับขึ้นตามฤดูกาล แต่มีแนวโน้มลดลงจากราคาสินค้าอุปโภคที่อ่อนตัวและภาคอสังหาฯ ที่ชะลอลง 

ความตึงเครียดทางการค้าอาจกระทบการส่งออก แต่ไต้หวันยังได้แรงหนุนจากการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และการเติบโตของ AI

เศรษฐกิจไทย :เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ปรับดีขึ้น การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวตามการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งในแง่จำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แม้ว่าโครงการ Easy E-Receipt จากรัฐบาลในปีนี้จะมีวงเงินต่ำกว่าปี 2024 แต่ยังช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้บ้าง

ภาคการผลิต โดยรวมดีกว่าที่ กนง. เคยประเมินไว้ โดยเฉพาะในหมวดที่ไม่ใช่ยานยนต์ อย่างไรก็ตาม การผลิตรถยนต์ยังคงอ่อนแอ เนื่องจากการแข่งขันที่สูงและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งผู้ประกอบการยังต้องใช้เวลาในการปรับตัว
 
กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps สู่ระดับ 2.00% โดยเสียงส่วนใหญ่ของกรรมการฯ เห็นชอบให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพของระบบการเงิน รวมถึงความเสี่ยงต่ำที่ชัดเจนขึ้น
 

มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน 

แนวโน้มตลาด

ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะมาตรการ Reciprocal Tax ที่จะเริ่มมีผลในวันที่ 2 เม.ย. รวมถึงการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปในอัตรา 25% และการยกระดับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ต่อจีน ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงนโยบายที่ยากต่อการประเมิน และอาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลกในระยะถัดไป
 
ขณะเดียวกัน สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นกดดันอีกครั้ง หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งการบริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอ่อนแอลง ภาพรวมของหุ้นสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยเฉพาะใน Technology ในทางกลับกัน หุ้นเทคโนโลยีจีนกลับโดดเด่น โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม E-commerce, Cloud และ AI Infrastructure ที่เริ่มแสดงสัญญาณการทำกำไรได้ชัดเจนขึ้น
 
ในระยะข้างหน้า เรามองว่าตลาดยังมีแนวโน้มเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่องจากทั้งปัจจัยด้านการเมือง การค้า และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และแนวทางการตอบโต้จากฝั่งยุโรปและจีน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางตลาดทุนในไตรมาส 2 และครึ่งปีหลังของปี 2025


กลยุทธ์การลงทุน

พิจารณาใช้กลยุทธ์ "Barbell Strategy" ซึ่งเน้นการกระจายพอร์ตการลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง (Growth) และหุ้นที่เน้นความมั่นคงและปลอดภัย (Defensive) โดยแบ่งสัดส่วน 50% ในหุ้นกลุ่ม Growth เช่น เทคโนโลยีและนวัตกรรม และอีก 50% ในหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น Utilities, Consumer Staples และหุ้นกลุ่ม Value การจัดสรรพอร์ตในลักษณะนี้จะช่วยลดความผันผวนและรับมือกับความไม่แน่นอนในตลาดได้ดี ความผันผวนในตลาดยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง โดยนักลงทุนควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์
 
คำแนะนำการลงทุน
  • เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive และ Growth: โดยแนะนำหุ้นในกลุ่ม, Consumer Staples และเทคโนโลยีที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งจะสามารถรักษามูลค่าและเติบโตได้ดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
  • กระจายการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก: เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนจากตลาดที่มีศักยภาพเติบโต เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลบวกจากการลดดอกเบี้ย
  • การกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น และการซื้อหุ้นคืนในตลาดเพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
  • ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจและนโยบายการเงินอย่างใกล้ชิด: เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะสั้นและกลาง
กองทุนแนะนำ
  • LHMEGA: กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยกองทุนมุ่งเน้นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการ Disruption ในหลากหลาย Sector รวมถึงค้นหาโอกาสที่กระจายอยู่ทั่วทั้ง Value Chain
  • LHDIVB: กองทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
  • LHGEQ: กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลก เน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง และมีประวัติการทำกำไรและมีงบดุลที่แข็งแกร่ง
  • LHSPACE: กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น Space Economy มีโอกาสเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
  • LHUSFIN: กองลงทุนในหุ้นกลุ่ม Financial ในสหรัฐอเมริกา ตลาดใหญ่ของกลุ่มการเงินระดับโลก
  • LHCYBER: กองลงทุนในหุ้นกลุ่ม Cyber Security รับโอกาสการลงทุนในอนาคตของโลกไซเบอร์
  • LHTWGHD: กองทุนหุ้นไต้หวัน ที่มีจุดเด่นด้านเซมิคอนดักเตอร์ และการจ่ายเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง

Source: LHFUND, Bloomberg, Reuters, Trading Economy, investing.com

Data as of: 7 Mar 2025

เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือ
ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน










  

 



 



 




 

กรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ