สรุปภาวะตลาด

Trade War 2.0 เริ่มขึ้นแล้ว กดดันตลาดเอเชียร่วงหนัก
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มต้นสงครามการค้าอีกครั้ง โดยประกาศเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% กับสินค้าจาก แคนาดา (สำหรับพลังงานเก็บเพียง 10%) และ เม็กซิโก รวมถึงเก็บภาษี 10% กับสินค้าจากจีน โดยคำสั่งนี้ได้ถูกลงนามเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้ ซึ่งมาตรการนี้ดำเนินการภายใต้ พระราชบัญญัติอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) เนื่องจากภัยคุกคามสำคัญจากผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเสพติดร้ายแรงโดยกลุ่มประเทศคู่ค้าดังกล่าวก็ได้ออกมาตอบโต้ในทันที แคนาดาและเม็กซิโกได้ประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในขณะที่ จีนให้คำมั่นว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่สอดคล้องกัน และเตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อท้าทายการกระทำของทรัมป์นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้บอกใบ้ ถึงการดำเนินมาตรการภาษีที่เข้มข้นกับยุโรป โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะ “ดำเนินการบางอย่างที่สำคัญมาก” เกี่ยวกับภาษีสำหรับยุโรปในอนาคตอันใกล้
การตอบสนอง และมุมมองของตลาด
เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 31 ตลาดหุ้นสหรัฐปิดในแดนลบ โดย S&P 500 ลดลง -0.5%หลังข่าวการขึ้นภาษีเริ่มแพร่ออกมาในช่วงคืนวันศุกร์ ขณะที่ เช้านี้ หุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้านี้ หุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ร่วง 3% ขณะที่ ตลาดหุ้นจีนปิดทำการเนื่องในวันหยุดตรุษจีน โดยนักลงทุนต่างกังวลถึงความเป็นไปได้ของสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทใหญ่ ๆ และฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
แนวโน้ม
นักลงทุนอาจจำเป็นต้อง จับตามองท่าทีและมาตรการเพิ่มเติมของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแม้จะมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อเม็กซิโก แคนาดา และจีน ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นในตลาดการค้าโลก แต่ จุดยืนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอนและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยการตัดสินใจค่อนข้างมีความยืดหยุ่นขึ้นกับการเจรจากับประเทศคู่ค้านั้นๆ แต่มีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อให้ผลจากการดำเนินนโยบายทั้งหมดเกิดประโยชน์สูงสุดกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ การขึ้นภาษีศุลกากรจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถจัดเก็บงบประมาณเพื่อนำมาชดเชยการลดภาษี Corporate Tax เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตภายในประเทศได้ ในทางตรงกันข้าม ผลของการขึ้นภาษีศุลกากรอาจนำไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้า และกดดันให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ให้สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เองในท้ายที่สุด
กลยุทธ์การลงทุน
โดยแนะนำ กลยุทธ์การลงทุนที่มีลักษณะ Balanced Portfolio กล่าวคือ ลงทุนทั้งในกลุ่มกองทุนที่มี หุ้น Defensive หรือหุ้นกลุ่ม Consumer Staples ซึ่งแนวโน้มที่มีรายได้สม่ำเสมอแม้ในสภาวะตลาดที่ผันผวน และ หุ้นกลุ่ม Growth ซึ่งได้แก่ หุ้นเทคโนโลยีที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง รวมถึง กลยุทธ์กระจายการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนจากตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตโดยนักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลา
กองทุนแนะนำ
LHDIVB: กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงทั่วโลก เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
LHGEQ: กองทุนหุ้นโลก กองทุนมีกลยุทธ์ลงทุนแบบผสมผสานในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการทำกำไรและปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งโดยนักลงทุนอาจอาศัยจังหวะย่อตัวเพื่อสะสมเข้าพอร์ตการลงทุน
Source: CNBC, CNN, Invstingcom
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน