สรุปภาวะตลาด
ตัวเลข Core CPI สหรัฐฯ เดือนธ.ค. ต่ำกว่าคาด หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
- Core CPI เดือนธ.ค. 24 เพิ่มขึ้น 3.2% YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้า และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 3.3% ขณะที่ CPI (Headline Inflation) เพิ่มขึ้น 2.9% YoY สอดคล้องกับการคาดการณ์ ตามรายงานของสำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) เมื่อคืนที่ผ่านมา
- ขณะที่ ราคาที่อยู่อาศัย (Shelter Prices) ซึ่งมีน้ำหนักประมาณหนึ่งในสามของ CPI เพิ่มขึ้น 4.6% YoY ใน เดือนธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดนับตั้งแต่ เดือนม.ค 2022 อีกทั้งราคาบริการ (Services Prices) ไม่รวมค่าเช่า (Rents) เพิ่มขึ้น 4.0% YoY ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่ เดือน ก.พ. 2024
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลงอย่างรวดเร็วจากรายงาน CPI โดยลดลงประมาณ 13 basis points อยู่ที่ 4.65% ล่าสุด
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยด้านดัชนี Dow Jones พุ่งขึ้น 700 จุด โดยปิดที่ 43,221.55 (+1.65%) ขณะที่ ดัชนี S&P 500 ทำสถิติรายวันดีที่สุดตั้งแต่เดือน พ.ย. โดยปิดที่ 5,949.91 (+1.83%) ขณะที่ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,511.23 (+2.45%) โดยที่หุ้นเติบโต (Growth Stocks) เช่น Tesla และ Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 8% และ 3% ตามลำดับ
- นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงหนุน จากการที่ 4 บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้รายงานผลประกอบการ Q4/24 ในวันเดียวกันโดย JPMorgan Chase: เพิ่มขึ้นเกือบ 2% หลังรายงาน EPS และรายได้ที่สูงกว่าคาดการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการด้านการซื้อขายตราสารหนี้และการลงทุน Goldman Sachs: พุ่งขึ้น 6% หลังรายงานกำไรที่เหนือความคาดหมาย Wells Fargo: เพิ่มขึ้นมากกว่า 6% หลังระบุว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income) จะเพิ่มขึ้น 1%-3% ในปี 2025 Citigroup: เพิ่มขึ้น 6% หลังผลประกอบการไตรมาส 4 สูงกว่าคาด
- ทั้งนี้ ตัวเลข CPI เมื่อคืนนี้ อาจช่วยให้ Fed มีมุมมองที่ผ่อนคลายมากขึ้น (Dovish) โดยคาดว่า Fed ยังคงยึดแนวทางคงอัตราดอกเบี้ยในที่ประชุมกำหนดนโยบายปลายเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลข CPI ล่าสุดจะออกมาช่วยลดความกังวลของตลาด แต่ยังคงต้องจับตานโยบายภาษีศุลกากร (Tariffs) และการเนรเทศคนจำนวนมากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นไว้ ซึ่งอาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยนโยบายดังกล่าวน่าจะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น หลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า
- กลยุทธ์การลงทุนที่มีลักษณะ Balanced Portfolio กล่าวคือ ลงทุนทั้งในกลุ่มกองทุนที่มี หุ้น Defensive หรือหุ้นกลุ่ม Consumer Staples ซึ่งแนวโน้มที่มีรายได้สม่ำเสมอแม้ในสภาวะตลาดที่ผันผวน และหุ้นกลุ่ม Growth ซึ่งได้แก่ หุ้นเทคโนโลยีที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง รวมถึง กลยุทธ์กระจายการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนจากตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต
กองทุนแนะนำ
- LHMEGA: กองทุนที่เหมาะกับช่วงที่ภาคเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่กำลังเป็นที่ต้องการสูง โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์มีแนวโน้มสนับสนุนกลุ่มเทคโนโลยีผ่านการลดภาษีและนโยบายที่ช่วยเหลือบริษัทอเมริกัน
- LHDIVB: กองทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงทั่วโลก เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
- LHUSFIN: กองทุนน่าจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายทรัมป์ที่มุ่งผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้กับธนาคารและบริษัทการเงิน เช่น การลดข้อกำหนดที่เป็นภาระ ช่วยให้บริษัทการเงินมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การที่ทรัมป์หนุนการบริโภคในประเทศจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้
- LHSPACE: เป็นกองทุนทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สนใจอุตสาหกรรมอวกาศและเทคโนโลยีอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์ให้การสนับสนุนภาคเอกชน เช่น SpaceX ของอีลอน มัสก์ ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่ลดต้นทุนการปล่อยจรวดและขยายบทบาทในโครงการสำรวจอวกาศ
Source: CNBC, Morningstar