สรุปภาวะตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรง หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาดในปี 2025
การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เมื่อคืนวันที่ 18 ธันวาคม 2024 ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงอยู่ในช่วง 4.25-4.50 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดคือการปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยในปี 2025 เหลือเพียง 2 ครั้ง จากเดิมที่เคยคาดไว้ 4 ครั้งใน Dot Plot ล่าสุด การปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนผิดหวัง เนื่องจากตลาดคาดหวังว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก ซึ่งหลังจากประกาศดังกล่าว ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 2 เปอร์เซ็นต์ในทันที ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี พุ่งสูงขึ้นแตะระดับ 4.35 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนความไม่แน่นอนในตลาดทุนและพันธบัตร นอกจากนี้ เฟดยังปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อ (PCE) ในปี 2025 ขึ้นเป็น 2.5 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ 2.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ย้ำว่า การลดดอกเบี้ยในอนาคตจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเห็นความคืบหน้าอย่างชัดเจนในด้านเงินเฟ้อ ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในภาวะ "Sideway" มากกว่าการลดลงที่เป็นรูปธรรม
กลยุทธ์การลงทุน
จากการวิเคราะห์ เราคาดว่าเฟดอาจต้องปรับลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ Dot Plot และตลาดคาดการณ์ไว้ในปี 2025 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า 4 เปอร์เซ็นต์ยังคงเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่พึ่งพาต้นทุนทางการเงินต่ำเพื่อการขยายตัว ขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง โดยตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อัตราการเปิดรับสมัครงาน การจ้างงานใหม่ การลาออกของพนักงาน และการจ้างแรงงานชั่วคราว ต่างลดลงอย่างชัดเจนจากจุดสูงสุด สะท้อนให้เห็นว่าอัตราการว่างงานในอนาคตอาจเพิ่มขึ้น จากข้อมูลดังกล่าว เราคาดว่าเฟดจะถูกกดดันให้ลดดอกเบี้ยมากขึ้นในปี 2025 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และพยุงตลาดแรงงานให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ รอบใหม่น่าจะถูกจำกัด เนื่องจากทรัมป์มีลักษณะเป็น "นักต่อรอง" ที่มักหาวิธีประนีประนอมเพื่อลดผลกระทบในภาพรวม
กองทุนแนะนำ
เราแนะนำการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite โดยเน้นการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่ม Growth ผสมผสานกับหุ้นกลุ่ม Value
Core Portfolio แนะนำจัดสัดส่วน 70-80% ในกองทุนที่มีเสถียรภาพและสร้างรายได้ที่มั่นคง เช่น
LHDIVB กองทุนที่เน้นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงและซื้อหุ้นคืนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเหมาะกับช่วงที่ตลาดยังเผชิญความไม่แน่นอน
LHMEGA กองทุนที่เน้นธีมการเติบโตในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น AI และการสื่อสาร ซึ่งจะได้รับประโยชน์ในระยะยาว
Satellite Portfolio แนะนำจัดสัดส่วน 20-30% ในกองทุนที่เน้นธีมเฉพาะและมีโอกาสเติบโตสูง เช่น
LHSPACE กองทุนที่ลงทุนในเศรษฐกิจอวกาศ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
LHUSFIN กองทุนที่เน้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ซึ่งได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย และการปรับลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบทางการเงิน
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น สามารถหาจังหวะเข้าซื้อโดยใช้กลยุทธ์ Buy on Dip เพื่อสะสมหน่วยลงทุนในช่วงที่ตลาดมีการปรับฐาน
ส่วนการลงทุนระยะยาว สามารถวางแผนการลงทุนแบบทยอยเข้าซื้อ เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าพอร์ตในระยะยาวอย่างมั่นคงในอนาคต
Source: LHFund