สรุปภาวะตลาด
ทองคำส่งสัญญาณหยุดพักฐาน
ราคาทองคำปรับฐานลงมาประมาณ 10% จากจุดสูงสุดที่ $2,790 ในเดือนตุลาคม เหลือประมาณ $2,510 ก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมาราว 5% อยู่ที่ระดับ $2,690 ในปัจจุบัน การดีดกลับนี้ส่งสัญญาณสำคัญว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะเผชิญกับแรงขายทำกำไรในช่วงก่อนหน้า การปรับฐานของราคาทองคำครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนถึงความอ่อนแอของตลาด แต่กลับแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวอย่างมีเสถียรภาพ ท่ามกลางปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่กำลังกลับมาหนุนราคาทองคำให้เข้าสู่โหมดขาขึ้นอีกครั้ง โดยมีปัจจัยสนับสนุนการกลับมาเป็นขาขึ้นของทองคำดังต่อไปนี้
1. จีนกลับมาซื้อทองคำอีกครั้ง
ธนาคารกลางจีน (PBOC) กลับมาซื้อทองคำเพื่อเพิ่มทุนสำรองอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน หลังหยุดพักการซื้อไปนานถึง 6 เดือน โดยเพิ่มปริมาณทองคำ 160,000 ออนซ์ ฟายนทรอย ทำให้ทุนสำรองทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 72.96 ล้านออนซ์ จีนยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2023 โดยปริมาณการสะสมทองคำของ PBOC มีบทบาทสำคัญในการหนุนราคาทองคำให้ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องถึง 39 ครั้ง ในปีนี้ นอกจากการซื้อทองคำอย่างเปิดเผยแล้ว ยังมีการคาดการณ์ว่า PBOC อาจสะสมทองคำเพิ่มเติม "นอกบัญชี" ผ่านหน่วยงานพิเศษ เช่น State Administration for Foreign Exchange (SAFE) เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในระบบการเงินของประเทศ การกลับมาซื้อทองคำของจีนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสะสมสินทรัพย์ธรรมดา แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าจีนกำลังใช้ทองคำเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ใช้ดอลลาร์เป็น "อาวุธทางการเมือง" ภายใต้ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าของทรัมป์
2. ความไม่สงบในซีเรีย
การยึดอำนาจสำเร็จของฝ่ายกบฏในซีเรีย นอกจากจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับความขัดแย้งภายในประเทศแล้ว ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อภูมิภาคตะวันออกกลางโดยรวม เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความกังวลว่ากลุ่มกบฏในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อิรัก เลบานอน หรือแม้แต่เยเมน อาจได้รับแรงบันดาลใจจากโมเดลเดียวกันนี้ และลุกขึ้นมาท้าทายรัฐบาลในประเทศของตน สถานการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะขยายวงความขัดแย้งออกไปในภูมิภาค ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อความไม่สงบทางการเมืองและการทหารอยู่แล้ว
ความขัดแย้งในซีเรียมีลักษณะที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในประเทศและระดับนานาชาติ การที่ฝ่ายกบฏสามารถยึดอำนาจสำเร็จไม่เพียงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิรัฐศาสตร์ของซีเรียเท่านั้น แต่ยังสร้างความตึงเครียดให้กับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่อาจกลายเป็นเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกัน ในสถานการณ์ปัจจุบัน การยึดอำนาจสำเร็จของฝ่ายกบฏในซีเรียส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับความไม่มั่นคงที่อาจเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน และความเป็นไปได้ที่สงครามจะขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ความเสี่ยงเหล่านี้เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้นักลงทุนหันไปสะสมทองคำ เพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุนของพวกเขาจากความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
3. ท่าทีของ Fed
ข้อมูลจากรายงานล่าสุดจาก Fed Watch Tool เผยว่า Fed มีโอกาสสูงถึง 90% ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปี 2025 การลดดอกเบี้ยของ Fed มีผลทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมราคาทองคำในตลาดโลก เพราะต้นทุนการถือครองทองคำสำหรับนักลงทุนต่างชาติจะลดลงทันที
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นว่านโยบายการเงินผ่อนคลายจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ยิ่งเสริมความน่าสนใจของทองคำในฐานะการลงทุนที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
4. นโยบายของทรัมป์
การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2025 พร้อมนโยบาย "America First" ได้รับความสนใจจากทั่วโลกในฐานะการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งสำคัญที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก นโยบายดังกล่าวนำมาซึ่งความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจ ทั้งจากความขัดแย้งทางการค้า ความผันผวนของค่าเงิน และความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้นักลงทุนหันไปถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ช่วยลดความเสี่ยง
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายลดภาษีและการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะยาว ซึ่งเป็นผลดีต่อราคาทองคำ โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่สามารถเข้าถึงทองคำได้ในราคาที่ถูกลง ขณะเดียวกัน การขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่การเร่งตัวของเงินเฟ้อในอนาคต ส่งผลให้ทองคำมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในพอร์ตการลงทุน ในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและรักษามูลค่าทรัพย์สินในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญกับความไม่แน่นอน
กลยุทธ์การลงทุน
แนะนำ ทยอยสะสมหน่วยลงทุน LHGOLD โดยพิจารณาระดับราคาจากกราฟปัจจุบันที่ $2,690-$2,700 ซึ่งใกล้กับแนวรับสำคัญบริเวณ $2,694 (Fibonacci Retracement 0.618) หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการสะสมเพิ่ม โดยมี EMA 20 วัน ที่ $2,656 เป็นแนวรับถัดไปสำหรับการปรับฐานในระยะสั้น
ในกรณีที่ราคาปรับตัวขึ้นและทะลุแนวต้านสำคัญที่ $2,736 (Fibonacci 0.786) จะเป็นสัญญาณการกลับมาเป็นขาขึ้นชัดเจน พร้อมเป้าหมายถัดไปที่บริเวณ $2,848-$2,884 สำหรับการทำกำไร ในขณะเดียวกัน หากราคาหลุดต่ำกว่า $2,656 ควรกำหนดจุดตัดขาดทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง
Source: People Bank of China , CNBC , CNN
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน