สรุปภาวะตลาด
ทิศทางตลาดหุ้นอินเดีย หลังตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด
ดัชนี BSE Sensex กำลังอยู่ในช่วงการปรับฐานโดยมีแนวรับสำคัญบริเวณ EMA 200 วัน และบริเวณ Fibonacci Retracement 38.2% ที่ระดับ 77,370 โดยราคาดัชนี Sensex ปิดลดลง 1.3% ที่ 77,691 ในวันพุธที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน จากหุ้น 30 ตัวในดัชนี Sensex มี 27 ตัวที่ปิดในแดนลบ โดยหุ้นที่ขาดทุนมากที่สุด ได้แก่ Tata Steel (-3.4%), Mahindra & Mahindra (-3.2%), Adani Ports (-2.8%), SBI (-2.2%), JSW Steel (-2.2%) และ HDFC Bank (-2.2%) มีเพียง NTPC, Tata Motors และ Hindustan Unilever เท่านั้นที่มีการปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย ปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีลดลงมาจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อภายในประเทศ, ผลประกอบการบริษัทที่น่าผิดหวัง และการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นจากนโยบายที่เสนอโดยทรัมป์ นอกจากนี้ การที่อัตราเงินเฟ้อในอินเดียพุ่งสูงขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนในเดือนตุลาคมได้ทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้าลดลง ในขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงระมัดระวังในการซื้อขายก่อนการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ
แนวโน้ม
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในอินเดียจะพุ่งสูงเกินคาดและทำให้นักลงทุนกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะสั้นซึ่งกดดันให้ตลาดหุ้นเกิดแรงเทขาย แต่เศรษฐกิจอินเดียยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากการเติบโตในภาคบริการและการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อเสริมความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้นำอินเดียและอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังส่งผลดีในแง่การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่นโยบายใหม่ของทรัมป์จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ในภาพเทคนิคคอล ตลาดอินเดียกำลังอยู่ในช่วงการปรับฐานหลังตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมออกมาสูงกว่าคาดการณ์ โดยมีแนวรับสำคัญบริเวณเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน และ Fibonacci Retracement ที่ระดับ 38.2% บริเวณ 77,370 หากราคาไม่สามารถยืนเหนือบริเวณนี้ได้ อาจมีการปรับตัวลงไปที่ระดับล่าง ที่แนวรับถัดไป 74,684.21 ที่บริเวณ Fibonacci Retracement 50% ในทางกลับกัน หากยืนเหนือระดับนี้ได้ อาจเป็นโอกาสของการรีบาวด์กลับเช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน
LHINDIAE
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น
พิจารณาเข้าซื้อบริเวณแนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน โดยตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่ -4% และกำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) ที่ 8% โดยมีค่าRisk/Reward Ratio = 1:2 เพื่อบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
กลยุทธ์การลงทุนระยะยาว
ทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวลงในกรอบแนวรับสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากการเติบโตของภาคบริการ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ส่งเสริมการฟื้นตัวและการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ ยังมีการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพและความยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ของพอร์ทการลงทุน
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน