สรุปภาวะตลาด
ทรัมป์คว้าชัยสมัยที่ 2 ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 พร้อมภารกิจ ‘Make America Great Again’
ชัดเจนแล้วว่า โดนัล ทรัมป์ จะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ภายหลังผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบสนองเชิงบวก โดย Russell 2000 +5.84% ตามมาด้วย Dow Jones Industrial Average (DJI) +3.57%, NASDAQ 100 (NDX) +2.74% และ S&P 500 (SPX) +2.53% และนำโดยหลายภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ Financials, Industrials, Consumer Discretionary, Energy และ Information Technology ซึ่งบวกที่ +6.16%, +3.93%, +3.62% +3.54% และ +2.52% ตามลำดับ เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากนโยบาย ‘Make America Great Again’ โดยตลาดคาดการณ์ว่า ทรัมป์จะสนับสนุนนโยบายที่ส่งผลดีต่อการลงทุนและการบริโภคในประเทศ
ทั้งนี้ พรรครีพับลิกันสามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร หรือ ที่เรียกว่า 'Red Sweep' โดย พรรครีพับลิกันสามารถชนะการเลือกตั้งในวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ที่นั่งรวม 51 เสียง เพียงพอให้พรรคมีอำนาจสูงในการผ่านกฎหมายในประเด็นสำคัญ เช่น นโยบายภาษี การจัดสรรงบประมาณ และการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลให้การดำเนินการด้านต่างๆ ดังกล่าว เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เสียงในวุฒิสภาของรีพับลิกันไม่ถึง 60 เสียง ที่จำเป็นสำหรับการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งจะส่งผลต่อประเด็นอ่อนไหวหรือสุดโต่งบางประการ เช่น นโยบายการผลักดันผู้อพยพออกจากประเทศ อาจมีความเป็นไปได้น้อยลงหรือใช้ระยะเวลานานขึ้น โดยนโยบายหลักที่คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ มีดังนี้
นโยบายด้าน Fiscal Policy จากการจัดเก็บภาษีที่น้อยลง โดยทรัมป์ตั้งใจจะลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ลงเหลือ 15% อีกทั้ง จะขยายระยะเวลาการลดภาษีมรดกซึ่งกำลังจะหมดอายุในปี 2025 โดยนโยบายการลดภาษีดังกล่าว จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในสหรัฐฯ และเป็นปัจจัยบวกให้เศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ เติบโต โดย Schroders Economics Group คาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์จะสูงกว่าแฮร์ริสเฉลี่ยประมาณ 20 bps ต่อปี ในช่วงปี 2025-2027
อย่างไรก็ดี การลดภาษีจะส่งผลต่อการขาดดุลงบประมาณ โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 35.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมากกว่า 100% ของ GDP โดย LGT ประเมินว่า อัตราการสะสมหนี้ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเพิ่มเร็วขึ้นภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดยภายในปี 2034 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ คาดว่าจะอยู่ที่ 43 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบกับ 39 ล้านล้านดอลลาร์ภายใต้แผนของแฮร์ริส
นโยบายด้าน Deregulation จะส่งผลบวกต่อ Banking and Financial Sectors จากการผ่อนคลายกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน และการผ่อนคลาย M&A (การควบรวมและซื้อกิจการ) อีกทั้ง ภาค TMT (เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม) มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการลดกฎระเบียบ รวมถึงภาค Energy เช่น น้ำมันและก๊าซ จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายการผ่อนคลายกฎระเบียบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
นโยบายด้าน International Trade แม้ว่านโยบายของทรัมป์จะมุ่งเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ และลดการขาดดุลทางการค้า แต่สงครามการค้าครั้งใหม่ที่อาจเกิดขึ้น จะดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐฯ เอง แม้ว่า ทรัมป์ จะมีเป้าหมายที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงเพื่อสนับสนุนการส่งออก แต่นโยบายการค้าของเขาอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นแทน นอกจากนี้ ยังจะกระทบต่อตลาดอื่นๆ อย่าง Emerging Market โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงหาก ทรัมป์ เพิ่มภาษีนำเข้าไปอยู่ที่ระดับ 60% อย่างที่เคยได้กล่าวไว้
ผลต่อตลาดทุน
ตลาดสหรัฐฯ
นโยบายของทรัมป์มีแนวโน้มส่งผลบวกต่อตลาดสหรัฐฯ โดยนโยบายหลักของพรรครีพับลิกัน เช่น การลดภาษี การควบคุมการย้ายถิ่นฐาน และการขึ้นภาษีศุลกากร จะส่งผลต่อเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ ให้ขยายตัว โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าจะตอบสนองเชิงบวกต่อการมาของ ทรัมป์ โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กที่มีแนวโน้มจะมีผลการดำเนินงานโดดเด่น
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แม้ว่านโยบายหลักของทรัมป์จะมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นมิตรต่อตลาด แต่ผลประโยชน์เหล่านี้อาจถูกท้าทายด้วยภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากการขึ้นภาษีนำเข้าและนโยบายจำกัดผู้อพยพ ซึ่งอาจทำให้ตลาดแรงงานตึงตัว โดย Schroders Economics Group คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์จะค่อย ๆ ขยับขึ้นเกิน 3% ภายในปี 2026 ที่อาจส่งผลต่อการพิจารณานโยบายดอกเบี้ยของ Fed ในระยะข้างหน้า
ตลาด Emerging Market
คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบกับประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีนและประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ประเทศเหล่านี้อาจเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านการส่งออกและการลงทุน ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นในภูมิภาค นักลงทุนอาจต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะที่มีความเสี่ยงสูงและเตรียมพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น?
กลยุทธ์การลงทุน
หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งได้ข้อสรุปแล้วว่า ทรัมป์เป็นผู้ชนะ ส่งผลให้แนวโน้มตลาดการเงินและนโยบายเศรษฐกิจคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี การลงทุน และภาษี เราขอแนะนำกองทุนที่เหมาะสมกับสภาพตลาดปัจจุบัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงโอกาสในการเติบโตและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้
1. LHMEGA (Core port)
เหมาะกับช่วงที่ภาคเทคโนโลยีกำลังเป็นที่ต้องการสูง โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์มีแนวโน้มสนับสนุนกลุ่มเทคโนโลยีผ่านการลดภาษีและนโยบายที่ช่วยเหลือบริษัทอเมริกัน ในช่วงนี้ บริษัทอย่าง Microsoft, Google และ Amazon มีโอกาสเติบโตได้ดีและพร้อมขยายธุรกิจอย่างมั่นคง การลงทุนใน LHMEGA จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาการเติบโตระยะยาวในภาคดิจิทัลที่เติบโตเร็ว
2. LHUSFIN (Sattelite port)
สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในภาคการเงิน LHUSFIN จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายทรัมป์ที่มุ่งผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้กับธนาคารและบริษัทการเงิน เช่น การลดข้อกำหนดที่เป็นภาระ ช่วยให้บริษัทการเงินมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การที่ทรัมป์หนุนการบริโภคในประเทศจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ การลงทุนใน LHUSFIN จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงจากภาคการเงินที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
3. LHSPACE (Sattelite port)
สำหรับผู้ที่สนใจอุตสาหกรรมอวกาศและเทคโนโลยีอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์ให้การสนับสนุนเต็มที่กับภาคเอกชน เช่น SpaceX ของอีลอน มัสก์ ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่ลดต้นทุนการปล่อยจรวดและขยายบทบาทในโครงการสำรวจอวกาศ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนนี้ทำให้ LHSPACE เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเข้าถึงการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังจะมาในอนาคต
4. LHGBLOCK (Sattelite port)
เน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านการเงินดิจิทัล ความปลอดภัยของข้อมูล และการจัดการข้อมูลอย่างโปร่งใส บล็อกเชนสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของธุรกรรมและการบันทึกข้อมูลในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภาคการเงินและโลจิสติกส์ การสนับสนุนจากทรัมป์ที่มีแนวโน้มสนับสนุนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีทำให้บล็อกเชนเป็นกลุ่มที่น่าจับตามอง การลงทุนใน LHGBLOCK จึงเหมาะกับผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีใหม่และการเติบโตในภาคดิจิทัล
5. LHDIVB (Sattelite port)
เน้นลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง โดยเฉพาะกลุ่มการเงินและพลังงาน ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลดีจากการเข้ามาของทรัมป์ที่เน้นสนับสนุนพลังงานดั้งเดิม เช่น น้ำมันและก๊าซ ทำให้กลุ่มนี้มีรายได้ที่มั่นคงและพร้อมจ่ายปันผลสูง นอกจากนี้ ภาคการเงินก็จะได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายกฎระเบียบและนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้บริษัทในกลุ่มนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง การลงทุนใน LHDIVB จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มองหาความมั่นคงทางรายได้จากหุ้นที่มีปันผลดี
- เนื่องจากกองทุน ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- ผลการดำเนินงานในอดีต ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน