สรุปภาวะตลาด
NVDIA แตกพาร์หุ้น (Stock Split) และ Apple เปิดตัว Apple Intelligence ในงาน WWDC
- NVDIA เมื่อคืนที่ผ่านมา มีการแตกพาร์ในอัตราส่วน 10 ต่อ 1 หมายความว่าผู้ถือหุ้นจะได้รับหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่าสำหรับทุกหุ้นที่ถืออยู่ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นลดลงหนึ่งในสิบ (1/10) ของราคาก่อนหน้า แต่มูลค่ารวมของการถือครองยังคง “เท่าเดิม”
- การแตกพาร์หุ้นทำให้หุ้นมีราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณการซื้อขายและทำให้หุ้นเป็นที่นิยมมากขึ้น
- Apple ประกาศเปิดตัวชุดฟีเจอร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ภายใต้ชื่อ "Apple Intelligence" ในงาน WWDC (Worldwide Developers Conference) ซึ่งเป็นการยกระดับความสามารถของอุปกรณ์ Apple ผ่านการใช้ AI ที่พัฒนาโดยบริษัท โดยชุดฟีเจอร์ Apple Intelligence จะเปิดให้ใช้ใน iOS 18, iPadOS 18, และ macOS Sequoia เริ่มต้นในภาษาอังกฤษแบบสหรัฐฯ และจะขยายไปยังภาษาหรือภูมิภาคอื่นๆ ในปีหน้า
- โดยทั่วไป หุ้นที่ทำการแยกหุ้นมักมีแนวโน้มเป็นบวกในระยะยาว โดยเฉลี่ยหุ้นเหล่านี้จะมีการเติบโต 25% ภายในหนึ่งปีหลังการแยกหุ้น เทียบกับการเติบโตเฉลี่ย 12% สำหรับดัชนีตลาดรวม (Broad Index)
- จากการการแตกพาร์และการเพิ่มเงินปันผลของ Nvidia ถือเป็นข่าวดีที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น การแตกพาร์หุ้นในอัตราส่วน 10 ต่อ 1 ทำให้หุ้นมีราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น และการเพิ่มเงินปันผลแสดงถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัท ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าหุ้นที่ทำการแยกหุ้นมักมีแนวโน้มเป็นบวก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเติบโตของ Nvidia ในอนาคต
- การเปิดตัวชุดฟีเจอร์ "Apple Intelligence" ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับการใช้งานอุปกรณ์ของ Apple แต่ยังมีผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจ semiconductor โดยเฉพาะในด้านของเทคโนโลยี AI และการประมวลผลแบบคลาวด์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความต้องการในชิปที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นโอกาสสำหรับ NVIDIA และบริษัท semiconductor อื่นๆ
- LHSEMICON โดยลงทุนหลักใน iShares Semiconductor ETF – SOXX เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีเช่น กลุ่มผู้ผลิตต้นน้ำ,กลุ่มผู้ผลิตที่ไม่มีโรงงานเป็นของตนเอง (Fabless Semiconductor Manufacturing),กลุ่มที่เชี่ยวชาญการผลิตชิพที่เกี่ยวข้องกับ S-Curve ใหม่ดังกล่าว หรือกลุ่มที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าคู่แข่งเป็นผู้นำตลาด หรือกลุ่มอื่นๆที่มีผลประกอบการและแนวโน้มการเติบโตโดดเด่น ตัวอย่างเช่น NVIDIA, Broadcom, AMD, Intel, Texas Instrument เป็นต้น
SET Index ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี ! จากปัจจัยทางการเมือง-สภาพคล่อง-เศรษฐกิจโลกที่ถาโถม
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ
ปัจจัยภายนอก
- การปรับลดดอกเบี้ยของเฟด: ตลาดหุ้นถูกกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรออกมาดีกว่าคาด ซึ่งอาจทำให้เฟดยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไป
- บอนด์ยีลด์ปรับขึ้น: ผลกระทบจากการคาดการณ์การปรับดอกเบี้ยทำให้บอนด์ยีลด์ปรับขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น?
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง: การเมืองไทยที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งเรื่องของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และกรณีที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเพิ่มความกังวลในตลาด
- สภาพคล่องที่หายไป: เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไม่กลับมา และการลดการปล่อยมาร์จิ้นจากบริษัทหลักทรัพย์บางแห่ง ทำให้เกิดความกังวลในเรื่องของสภาพคล่อง
- แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบัน แต่ยังคงมีปัจจัยบวกที่อาจช่วยส่งเสริมดัชนีในช่วงปลายปีนี้ การฟื้นตัวของมาตรการ LTF เนื่องจากเม็ดเงิน LTF มูลค่า 20,000-30,000 ล้านบาทสามารถช่วยดันดัชนีหุ้นไทยได้ถึง 20-30 จุด และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ จะสามารถเป็นตัวช่วยสำคัญที่สามารถสร้างแรงกระตุ้นและความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทยได้
- ตลาดจะมีความผันผวนในระยะสั้น การปรับตัวลดลงของตลาดสามารถสร้างโอกาสในการซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโตในราคาที่ถูกกว่า ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
กองทุนที่น่าสนใจลงทุน
- LHGROWTH กองทุนนี้มีการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยมุ่งเน้นการลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 20% ของพอร์ตการลงทุน และกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ 5-10% ของต้นทุน การลงทุนในกองทุนนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถจับโอกาสในการเติบโตในระยะยาวได้