สรุปภาวะตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเห็นแรงเทขายทำกำไร ส่วนหุ้นไทยและหุ้นจีนมีเทคนิคอลรีบาวด์
เหตุการณ์ที่สำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา
- ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Dow -0.9% S&P 500 -0.3% และ Nasdaq -1.2% จากตัวเลขการจ้างงานที่มากกว่าคาด ทำให้การปรับลดดอกเบี้ยทำได้ไม่เร็ว และประธานธนาคารกลางสหรัฐได้แถลงย้ำต่อทั้ง 2 สภาของสหรัฐ ว่าจะลดดอกเบี้ยในท้ายปี ส่วนผลการประชุมธนาคารกลางยุโรปคงดอกเบี้ยตามคาด และสะท้อนว่าจะลดดอกเบี้ยข้างหน้า หลังปรับลดเงินเฟ้อ และการเติบโตเศรษฐกิจ
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้มีแรงเทขายทำกำไรเล็กน้อย จากการที่ตลาดนั้นจับตามองการประชุมระหว่างนาย Jerome Powell ประธานธ.กลางสหรัฐฯ (Fed) และทางสภาคองเกรสในวันที่ 6-7 มี.ค. ซึ่งนาย Powell นั้นได้กล่าวว่าทางธ.กลางนั้น กำลังประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยได้มีการชั่งน้ำหนักระหว่างเป้าหมายในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และในขณะเดียวกันทางธ.กลางก็มีความระมัดระวัง โดยจะไม่คงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่สูงเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
- ตลาดหุ้นฮ่องกงได้ปรับตัวผันผวนลดลงเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความผิดหวังของนักลงทุน ต่อผลการประชุมใหญ่ประจำปี “Two Sessions” ซึ่งทางรัฐบาลจีนนั้นได้ตั้งเป้าหมาย GDP Growth ของเศรษฐกิจจีนที่ 5.0% ในปีนี้ (ต่ำกว่าปี 2023 ที่ 5.2%) ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์เล็กน้อย แต่รัฐบาลจีนนั้นยังคงตั้งเป้าในการขาดดุลงบประมาณไม่เกินระดับ 2% ต่อ GDP ซึ่งบ่งชี้ว่ารัฐบาลนั้นยังคงไม่ได้มีแผนที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุน และเศรษฐกิจจีนต้องการมากที่สุดในเวลานี้ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ได้ปรับตัวสุงขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์นี้ จากแรงซื้อของกองทุนรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีน ซึ่งยังคงโฟกัสการซื้อหุ้นไปที่ดัชนี CSI300 เป็นหลัก
- ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่แล้ว SET +19.00 จุด ,1.4% สู่ระดับ 1386.42 จุด จากความหวังการลดดอกเบี้ย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐและยุโรปสะท้อนในภาพเดียวกัน รวมถึงความหวังของการเริ่มใช้งบประมาณประจำปีในเมษายน และ นโยบายที่ผ่อนคลายของจีน โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นผู้ขายสุทธิ Bt2.6bn และกองทุนในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ Bt3.4bn
11 มี.ค ญี่ปุ่น GDP (4Q) (y-y) คาดว่าอยู่ที่ -0.4% โดยไตรมาสก่อนอยู่ที่ -2.9%
12 มี.ค สหรัฐ เงินเฟ้อ (กุมภาพันธ์) (y-y) คาดว่าอยู่ที่ 3.1% โดยเดือนก่อนอยู่ที่ 3.1%
14 มี.ค สหรัฐยอดค้าปลีก (กุมภาพันธ์) (m-m) คาดว่าอยู่ที่ 0.8% โดยเดือนก่อนอยู่ที่ -0.8%
LHHEALTH ในช่วงที่ตลาดอาจจะเผชิญความผันผวนจาก Valuation ของหุ้นที่เริ่มตึงตัวขึ้น จากดัชนีและหุ้นกลุ่ม Tech , AI ที่อยู่ในโซน Overbought แต่หุ้นในกลุ่ม Healthcare มีค่าเบต้าที่ระดับ 0.7 ทำให้มีลักษณะความเป็น Defensive สามารถเผชิญกับความผันผวนของตลาดได้ดี ประกอบกับกำไรกลุ่ม Healthcare คาดว่าจะเติบโตได้ดีในปีนี้ จากอานิสงค์รายได้จากยากลุ่มโรคเบาหวานและลดความอ้วนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง นำโดย Novo Nordisk และ Eli Lilly
Source:LHFUND, LHSEC, CNBC, UOB Kay Hian, Tisco
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน