สรุปภาวะตลาด
- ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีดังต่อไปนี้
- อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 9 โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯรุ่นอายุ 2 และ 10 ปี ได้ปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 4.33% และ 3.86% ตามลำดับ (ลงมาจากจุดสูงสุดในรอบ 17 ปีในเดือนต.ค. ที่ 5.22% และ 5.00% ตามลำดับ) โดยมีสาเหตุมาจากหลายตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิเช่น ตัวเลข Empire Manufacturing, S&P US Manufacturing PMI และ Capacity Utilization ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ในขณะที่ตัวเลข Consumer Confidence เดือนธ.ค. นั้นออกมาสูงสุดในรอบ 4 เดือน และดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์เป็นอย่างมาก จากการที่ชาวสหรัฐฯนั้นเริ่มมองว่าระดับเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยนั้นจะปรับตัวลดลงในปี 2024 แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในปี 2024 ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น นั้นได้ทำให้ตลาดนั้นมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกนั้นกำลังจะเข้าสู่ภาวะ “Soft-landing” ในปี 2024 โดยระดับเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลงนั้น จะเป็นการเปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้นจะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างต่อเนื่อง
- ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET Index ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14 จุด (+1.01%) มาที่ 1,405.09 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติได้กลับมาขายหุ้นไทยราวๆ 3,720 ล้านบาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสวนทางกับการที่ต่างชาติเข้าซื้อตลาดหุ้นไต้หวัน, เกาหลีใต้, อินเดีย, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยนักลงทุนในตลาดโลกนั้น ได้เริ่มมีการกลับมากระจายการลงทุนกลับมายังตลาดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (EM) อีกครั้ง
- 25 ธ.ค. ไทย: Customs Exports YoY เดือนพ.ย.โดยคาดการณ์ที่ 5.15% (ต่ำกว่าเดือน ต.ค.ที่ 8.00%)
- 26 ธ.ค. สหรัฐฯ: FHFA House Price Index MoM เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 0.5% m/m (น้อยกว่าเดือนก.ย. ที่ 0.6% m/m)
- 28 ธ.ค. สหรัฐฯ: Wholesale Inventories MoM เดือนพ.ย. โดยตลาดคาดการณ์ที่ -0.2% m/m (สูงกว่าเดือนต.ค. ที่-0.4% m/m)
- 28 ธ.ค. ไทย: BoP Current Account Balance เดือนพ.ย.$1163m (สูงกว่าเดือนต.ค.ที่ $665m)
- 29 ธ.ค. สหรัฐฯ: MNI Chicago PMI เดือนธ.ค.โดยตลาดคาดการณ์ที่ 50 จุด (น้อยกว่าเดือนต.ค.ที่ 55.8จุด)
- โดยในระยะสั้น กลุ่มสินทรัพย์ และประเทศที่ Underperform (ขึ้นน้อยกว่าดัชนี S&P500 ในปีนี้) นั้นจะเริ่มเห็นการกระจายเม็ดเงินลงทุนกลับมาสะสมซื้อมากขึ้น ไปจนถึงอย่างน้อยภายในสิ้นปีนี้ จนถึงไตรมาศ 1 ปี 2024
- แนะนำ #LHGEQ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าถึงจุดพีคแล้ว โดยการลงทุน ที่เน้นเลือกหุ้นรายตัวที่มีอีตราการเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นผู้นำตลาด ในแต่ละอุตสากรรม ในแต่ละประเทศและมีอัตราส่วนหนี้ต่ำ
- แนะนำ # LHEQD เน้นลงทุนในหุ้นไทยปันผลสูง ซึ่งหุ้นกลุ่มปันผลมัก Outperform ในช่วงไตรมาส 1 ก่อนการประกาศจ่ายปันผล
Source: LHFUND, CNBC, UOB Kay Hian, Bloomberg, ThaiPBS
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน