สรุปภาวะตลาด
นายกรัฐมนตรีได้แถลงรายละเอียดความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลดังต่อไปนี้
กำหนดผู้มีสิทธิ์รับเงินต้องมีอายุเกิน 16 ปี มีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาท และมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท จำนวนรวมประมาณ 50 ล้านคน ซึ่งแหล่งที่มาของเงินทุน คาดว่าจะใช้เงินทุนทั้งหมดจำนวน 500,000 ล้านบาท มาจากการออกพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน ซึ่งจำเป็นต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของสภาและจะมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อคืนเงินกู้นี้ภายใน 4 ปี ในขณะที่กลุ่มสินค้าที่ใช้ได้ จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น และไม่รวมถึงร้านค้าออนไลน์ โดยรัศมีการใช้งานจะสามารถใช้ได้ภายในอำเภอตามทะเบียนบ้านของผู้รับเงิน โดยสามารถใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" โครงการนี้มีกำหนดเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2567 นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้เปิดตัวโครงการ e-Refund สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ์กระเป๋าเงินดิจิทัล โดยไม่เกิน 50,000 บาทสามารถขอคืนภาษีได้ มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม 2567
มุมมอง
- การปรับลดวงเงินและแหล่งที่มาของเงินทุนที่เป็นการกู้ยืมแต่ต้องผ่านการพิจารณาของสภานั้น มีโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการลดวงเงินกู้ลงจะช่วยลดความกังวลของตลาดเกี่ยวกับหนี้และความเสี่ยงด้านเครดิต ในขณะเดียวกัน การจำกัดการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจะช่วยให้เงินสร้างประสิทธิภาพได้ไม่ต่างจากแผนเดิมในส่วนของกระเป๋าเงินดิจิทัล
- Valuation ของตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายที่ระดับประมาณ 14x ซึ่งอยู่ในระดับ -1 S.D. จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ประมาณ 15.5x จึงทำให้มีความน่าสนใจในเชิง Valuation อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย ได้ปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกันกับพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการลดแรงกดดันต่อธนาคารแห่งประเทศไทย หลังจากที่ได้ทำการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากว่า 2% ในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา แนะนำ #LHGROWTH #LHMSFL จากภาพความชัดเจนของนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ประกอบกับแรงกดดันจากผลตอบแทนพันธบัตรทั้งไทยและสหรัฐฯที่มีแนวโน้มลดลง