สรุปภาวะตลาด
ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีดังต่อไปนี้
- ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ของสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน โดยถึงแม้ว่า 235 บริษัทในดัชนี S&P500 นั้นได้ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 3 โดยมีถึง 186 บริษัทที่มีผลกำไรสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และโดยเฉลี่ยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด 8.6% แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนได้มีการขายทำกำไร โดยยังคงมีความกังวลต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาด ที่อาจจะอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้ง 1) ตัวเลขการจ้างงาน Non-farm Payrolls เดือนก.ย. ที่ 336k (สูงกว่าคาดที่ 170k) 2) ตัวเลขค้าปลีกเดือนก.ย. +0.7%m/m (สูงกว่าคาดที่ +0.3%) 3) ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย. ที่ 759k (สูงกว่าคาดที่ 680k) เช่นเดียวกับ 4) ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ 4.9% q/q annualized (ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 4.5% และไตรมาส 2 ที่ 2.1%) ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะทำให้ธ.กลางสหรัฐฯ นั้นอาจจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงกว่า 5% เป็นเวลานานอีกหลายเดือน
- ในส่วนของผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทที่น่าสนใจ มีดังนี้
2) Alphabet (Google): รายได้ +11.8% y/y และกำไร +46.2% y/y (กำไรสูงกว่าที่ตลาดคาด 7.1%)
3) Microsoft: % y/y % y/y %)
4) Meta (Facebook): % y/y % y/y %)
5) Tesla: % y/y % y/y %)
6) Netflix: % y/y % y/y %)
- ในส่วนของตลาดหุ้นยุโรป ตลาดนั้นยังคงทรงตัว แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในสัปดาห์นี้ โดยทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ทำการคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.5% ตามที่ตลาดคาดการณ์ ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจอย่าง Flash Manufacturing PMI และ Services PMI ของเดือนต.ค. นั้นออกมาที่ 43 จุด และ 47.8 จุด ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย และยังคงบ่งชี้ถึงการหดตัวลง
- ในส่วนของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และฮ่องกงหั่งเส็ง นั้นได้มีการปรับตัวขึ้น 1.16% และ 1.32% ตามลำดับ ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ทางรัฐบาลจีน ได้ประกาศว่าจะเพิ่มโควต้าสำหรับการออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4 ที่ 1 ล้านล้านหยวน ซึ่งบ่งชี้ถึงเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่านักวิเคราะห์หลายฝ่ายนั้น ก็ยังคงมีการถกเถียงว่า เม็ดเงินดังกล่าวนั้น จะเป็นเพียงการชดเชยรายได้จากการขายที่ดินของรัฐบาลท้องถิ่นที่ลดลง หรือจะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ประกาศในเดือนนี้นั้น ถือว่าน่าพึงพอใจ อาทิเช่น
1) GDP Q3 ที่ +4.9% y/y, +1.3% q/q (สูงกว่าตลาดคาดที่ 4.5% และ 0.9% ตามลำดับ) 2) Industrial Production เดือนก.ย. +4.5%
y/y (สูงกว่าคาดที่ 4.4%) 3) Retail Sales เดือนก.ย. +5.5% y/y(สูงกว่าคาดที่ 4.9%) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้น ทำให้ตลาดเริ่มมีความหวัง
ว่าเศรษฐกิจจีนนั้น อาจจะสามารถฟื้นกลับมาเติบโตได้ในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า ถึงแม้ว่าในภาพใหญ่นั้น จะยังคงมีอุปสรรคหลายอย่างใน ระยะยาวก็ตาม
y/y (สูงกว่าคาดที่ 4.4%) 3) Retail Sales เดือนก.ย. +5.5% y/y(สูงกว่าคาดที่ 4.9%) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้น ทำให้ตลาดเริ่มมีความหวัง
ว่าเศรษฐกิจจีนนั้น อาจจะสามารถฟื้นกลับมาเติบโตได้ในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า ถึงแม้ว่าในภาพใหญ่นั้น จะยังคงมีอุปสรรคหลายอย่างใน ระยะยาวก็ตาม
- ในส่วนของราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ได้ปรับตัวลดลงราวๆ 4% โดยราคาน้ำมัน WTI ยังคงทรงตัวที่ $85/bbl และ Brent ที่ $89.5/bbl โดยถึงแม้ว่าสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์นั้น ยังคงมีความเสี่ยงที่อยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับ ความเสี่ยงของการปะทะระหว่างกองทัพอิสราเอล และเลบานอนในทางตอนเหนือ แต่อย่างไรก็ตาม บริเวณดังกล่าวนั้น ยังไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งผลิต และขนส่งน้ำมันดิบ ในตะวันออกกลางมากนัก โดยตราบใดก็ตามที่อิสราเอล หรือสหรัฐฯ นั้นยังคงไม่มีการเปิดสงครามกับประเทศอิหร่าน หรือมีการก่อการร้ายอื่นๆ ที่ส่งผลต่อแหล่งผลิตน้ำมัน ราคาน้ำมันนั้น จะยังคงไม่ปรับขึ้นมากนัก
- ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET Index ได้ปรับตัวลดลง 11.12 จุด (-0.8%) ในสัปดาห์นี้ โดยตลาดได้ปรับตัวลงมาแล้วกว่า 16.8% YTD ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่แย่ที่สุดในโลก โดยตลาดยังเผชิญต่อแรงกดดันทั้งจากนักลงทุนต่างชาติ ที่มีการเทขายสินทรัพย์ในเอเชีย และปัจจัยทางด้านค่าเงิน แต่ในขณะเดียวกัน ตลาดนั้นก็ยังรอความชัดเจนถึงมาตรการ Digital Wallet 1 หมื่นบาท ถึงแหล่งของเงินทุน และเกณฑ์ในการแจกจ่ายเงินต่างๆ และปัจจัยทั้งบวก และลบที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
- 30 ต.ค. ยุโรป: Consumer และ Economic Confidence เดือนต.ค.
- 31 ต.ค. จีน: Manufacturing PMI เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 50.2 จุด (เท่ากับเดือนก.ย.)
- 31 ต.ค. จีน: Non-Manufacturing PMI เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 51.8 จุด (ดีกว่าเดือนก.ย. ที่ 51.7 จุด)
- 31 ต.ค. ยุโรป: GDP Q3 โดยตลาดคาดการณ์ที่ 0% q/q, 0.2% y/y (ซึ่งกว่าต่ำกว่า Q2 ที่ 0.1% q/q, 0.5% y/y)
- 31 ต.ค. ยุโรป: CPI เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 0.3% m/m, 3.1% y/y
- 1 พ.ย. จีน: Caixin Manufacturing PMI เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 50.8 จุด (ดีกว่าเดือนก.ย. ที่ 50.6 จุด)
- 1 พ.ย. สหรัฐฯ: ADP Employment เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 135k (สูงกว่าเดือนก.ย.ที่ 89k)
- 1 พ.ย. สหรัฐฯ: JOLTS Job Openings เดือนก.ย. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 9.2 ล้าน (ต่ำกว่าเดือนส.ค.ที่ 9.6 ล้าน)
- 2 พ.ย. ยุโรป: HCOB Manufacturing PMI เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 43 จุด (เท่ากับเดือนก.ย.)
- 2 พ.ย. สหรัฐฯ: การประชุม FOMC Meetings โดยตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50%
- 3 พ.ย. สหรัฐฯ: ตัวเลขการจ้างงาน Non-farm Payrolls เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 175k (ต่ำกว่าเดือนก.ย.ที่ 336k)
- 3 พ.ย. สหรัฐฯ: Unemployment Rate เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 3.8% (เท่ากับเดือนก.ย.ที่ 3.8%)
- 3 พ.ย. สหรัฐฯ: Average Hourly Earnings (ค่าจ้าง) เดือนต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ 0.3% m/m, 4.0% y/y (ตัวเลขเดือนก.ย.ที่ 0.2% m/m, 4.2% y/y)
- นักลงทุนทั่วโลก จะจับตามองการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ FOMC Meeting ในคืนวันพุธที่ 1 พ.ย. อย่างใกล้ชิดว่า นาย Jerome Powell นั้นจะให้มุมมองต่อนโยบายทางการเงินอย่างไร หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีสัญญาณของการชะลอตัวลง ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับที่สูงมากก็ตาม
- เช่นเดียวกับ ในวันเดียวกันที่กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ จะทำการประกาศปริมาณตราสารหนี้ที่จะมีการออกในไตรมาส 1 ปี 2024 โดยตลาดจะจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า ปริมาณ Supply ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นจะออกมาในปริมาณที่ Demand ในตลาดนั้นจะมีเพียงพอที่จะซื้อหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดทั่วโลกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า
กองทุนแนะนำ
- LHGEQ : กระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดี มีหนี้สินต่ำ ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยในช่วงอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น และเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นผู้นำในตลาด มีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในระยะถัดไปคาดว่าตลาดหุ้นยังเป็น sideway up จากดอกเบี้ยทั่วโลกที่ใกล้ระดับสูงสุดแล้ว
- LHHEALTH : เหมาะกับตลาดทั้งขาลงและขาขึ้น มีสัดส่วนประมาณ 50% ใน pharmaceutical, healthcare services ที่ค่อนข้าง defensive เป็นสิ่งจำเป็นในปัจจัย 4 โดยได้รับอานิสงค์จากผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น หรือ รายได้เพิ่มขึ้น และอีก 50% ในกลุ่ม healthcare เช่น biotech , life sciences, healthcare equipment ที่มี growth สูง ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี
ที่มา LHFUND, CNBC, Investing.com, Bloomberg, ThaiPBS
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน