สรุปภาวะตลาด


"FED ยืนยันยังต้องขึ้นดอกเบี้ยแม้ต้องแลกกับเศรษฐกิจชะลอตัว"

แม้ทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานเดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด แต่การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (“FED”) ปรับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Terminal Rate) ขึ้นเป็น 5-5.25% และยืนยันขึ้นดอกเบี้ย (ในอัตราที่ชะลอลง) ต่อเนื่องจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมายระยะยาวที่ 2% แม้ต้องแลกด้วยการตกงานจำนวนมากและเศรษฐกิจถดถอยก็ตาม รวมถึงยอดค้าปลีกทั้งทั่วไปและพื้นฐานสหรัฐฯ เดือนพ.ย. ต่ำกว่าคาดมาก ทำให้นักลงทุนกังวลว่าการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ FED จะนำไปสู่เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงกว่าคาด

ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลง โดย S&P500 และ Nasdaq ลดลง 2% และ 2.7% ตามลำดับ กดดันโดยความกังวลที่ว่าการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของ FED จะทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงแรง 3.5% หลัง outperformed ในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ตลาดหุ้นจีน H-Shares ลดลงกว่า 2% จากแรงทำกำไร ขณะที่หุ้นไทยและเวียดนามปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 2 และ 10 ปี เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน โดยอยู่ที่ 4.18% และ 3.48% ขณะที่ Dollar Index แข็งค่าเล็กน้อยมากอยู่ที่ 104.8 จุด

- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพ.ย. (คาด 101 จุด) หากดีกว่าคาดอาจลดความกังวลของนักลงทุน
- ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ เดือนพ.ย. (คาด 4.2 ล้านหลัง ชะลอเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า) ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ค่อยๆ ชะลอตัวลงจะลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และไม่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยรุนแรง
- Core PCE เดือนพ.ย. (คาด 0.2% mom)

- ระยะสั้น คาดสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสฟื้นตัวหลังปรับตัวลงต่อเนื่องใน 2 สัปดาห์ก่อนหน้า รับความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าคาดของ FED และเศรษฐกิจถดถอยไปบางส่วนแล้ว
- ระยะกลางยาว มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมกองทุนหุ้น ทั้งกองทุนรวมหุ้น และ SSF, RMF หากเงินเฟ้อสหรัฐฯ สูงกว่าคาด เนื่องจากธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลงในอนาคต และจากการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงในปีนี้ทำให้มีมาตรการเพื่อรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งนี้การทยอยเปิดประเทศของจีนหากทำได้จริงอาจช่วยให้เศรษฐกิจโลกไม่ชะลอลงแรง อาจส่งผลบวกต่อคาดการณ์กำไรของบริษัทที่อาจไม่ลดลงรุนแรง
- หุ้นไทย ยังคงน่าสนใจลงทุนด้วยวัฏจักรเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องในปีหน้าหนุนโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติและการบริโภค
- หุ้นเวียดนาม หลังเกิดการขายทำกำไรในระยะสั้น เป็นโอกาสในการทยอยลงทุนระยะยาว
- หุ้นสหรัฐฯ: หุ้นของบริษัทที่ปันผลสูง และ/หรือ ซื้อหุ้นคืนสูง เหมาะกับการลงทุนช่วงตลาดผันผวน
- ตราสารหนี้ระยะกลางยาวที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ลดลง จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอย
กองทุนแนะนำ
LHSTRATEGY, LHVN, LHDIVB, LHGINCOME
ที่มา LHFUND, Bloomberg, CNBC, Investing 18 ธ.ค. 65
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

