สรุปภาวะตลาด
“Bond Yield ยังเพิ่ม วางกลยุทธ์อย่างไรกับ..กองทุนตราสารหนี้”
Special Update ภาวะตลาดและกองทุนตราสารหนี้
ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ยังคงมีความผันผวน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในช่วงอายุตั้งแต่ 1ปีขึ้นไปมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ตามการเคลื่อนไหวของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งมีปัจจัยจากสภาวะสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ส่งผลให้สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น กดดันให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยการที่ธนาคารสหรัฐฯ (FED) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% และการดำเนินมาตรการดูดซับสภาพคล่อง (Quantitative Tightening, “QT”) เดือนละ 47,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือน มิถุนยาน - สิงหาคม (3 เดือน) ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 95,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน นำไปสู่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลอย่างรวดเร็ว
ช่วงที่ผ่านมากองทุนได้ดำเนินกลยุทธ์ถือครองตราสารช่วงอายุสั้นๆ (Underweight Duration) ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าคู่แข่ง
มองไปข้างหน้าผู้จัดการกองทุนคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยน่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อไป ดังนั้นกลยุทธ์ในการลงทุนข้างหน้าจะยังคงถือครองตราสารช่วงอายุสั้นๆ (Underweight Duration) เพื่อลดผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และเข้าลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในอายุที่ยาวขึ้นเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น จากโอกาสในการลดลงของส่วนต่างของเครดิตตราสารหนี้เอกชน (Credit spread) ที่เรามองว่ามีความน่าสนใจลงทุนจากการที่นักลงทุนคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างช้าๆ ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเอกชนให้สูงขึ้น และทำให้ส่วนต่างของเครดิตตราสารหนี้เอกชน (Credit Spread) น่าจะค่อยๆ ลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนรวมตราสารหนี้ที่น่าสนใจ ได้แก่
LHTREASURY
เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเงินฝากเป็นหลัก โดยไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้เอกชน ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากเล็กน้อย และรับความเสี่ยงได้ต่ำ ซึ่งมีการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นและ ดำรงตราสารหนี้ที่มีกำหนดครบอายุไถ่ถอนในพอร์ตเฉลี่ยไม่เกิน 92 วัน
LHMM
เน้นการลงทุนในตราสารภาครัฐและเงินฝาก รวมถึงตราสารหนี้เอกชน ซึ่งมีความผันผวนที่ต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก แต่รับความเสี่ยงได้ต่ำเช่นกัน ซึ่งมีการลงทุนในตราสารระยะสั้นและมีการดำรงตราสารหนี้ที่มีกำหนดครบอายุไถ่ถอนในพอร์ตเฉลี่ยไม่เกิน 92 วัน
LHSTPLUS
จะเน้นการลงทุนในตราสารภาครัฐและเงินฝาก รวมถึงตราสารหนี้ภาคเอกชนกับเงินฝากต่างประเทศ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ยังรับความผันผวนได้เล็กน้อย โดยจะดำรงตราสารหนี้ที่มีกำหนดครบอายุไถ่ถอนในพอร์ตเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี
LHDEBT
เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนระดับ Rating A- ขึ้นไปในช่วงอายุ 1 – 3 ปี ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความผันผวนของตลาดได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน