สรุปภาวะตลาด


"LH Fund ปรับพอร์ตสู้ตลาดผันผวน"

ทีมผู้จัดการกองทุน LH FUND มองว่าการลงทุนใน ARK Innovation ETF ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่มี long-term innovation นั้น อาจได้รับผลกระทบเชิงลบในระยะสั้นถึงปานกลางจากการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงปีนี้ เพราะบริษัทที่ลงทุนส่วนใหญ่อยู่ใน early stage และเป็นหุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่แม้จะมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาวแต่ยังไม่มีกำไรหรือกำไรยังมีความไม่แน่นอนในระยะสั้น ประกอบกับ Valuation ยังค่อนข้างสูงอยู่
ดังนั้น LH FUND จึงลดสัดส่วนการลงทุนใน ARK Innovation ETF บางส่วน และ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Invesco QQQ ETF ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ มากขึ้น เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้กระแสเงินสดเป็นบวก มี competitive advantage ทำให้คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า
โดยสัดส่วนการลงทุนเป็นดังนี้

นอกจากนี้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน อาจมีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดเพิ่มมากขึ้น เพื่อรอจังหวะการลงทุน โดย LH Fund จะติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับพอรต์ให้เหมาะสมกับมุมมองตลาดในอนาคต

LHPROPIA ปรับตัวลดลง 6.3% ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากแรงกดดันจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ bond yield แต่หากมองไปข้างหน้า เรามองว่าผลประกอบการของกลุ่มโดยภาพรวมได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหลังจากได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 และปัจจุบันอยู่ระหว่างการฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ นโยบายควบคุมการแพร่ระบาดที่ผ่อนคลายลง และ อัตราการจ่ายปันผลที่ดีขึ้นในปีนี้และปีหน้า
อย่างไรก็ดีผลของแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลซึ่งจะทำให้อัตราส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Dividend yield gap) มีแนวโน้มปรับตัวลดลง และอาจทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในProperty Funds, REITs และ Infrastructure Funds เพียง asset class เดียวนั้นลดความน่าสนใจลง นอกจากนี้ปัจจัยด้านสภาพคล่องในการซื้อขาย (Trading value) โดยเฉพาะใน Property Fund & REITs ของไทยที่อยู่ในระดับต่ำ (โดยเฉลี่ยช่วง 6 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 128 ล้านบาทต่อวัน) ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างน้อยอาจทำให้ประสิทธิภาพในการลงทุนลดลง
LH FUND จึงมีแผนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสามัญกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีสภาพคล่องมากกว่า และมีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ (โดยปกติหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตเป็น 2 เท่าของการเติบโตของ GDP หรือมากกว่า) ดังจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวได้จาก ยอดขายโครงการใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยอดจองและยอดโอนที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จึงทำให้เรามองว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะเข้ามาช่วยเพิ่มผลตอบแทนส่วนเสริม และช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุนในพอร์ตการลงทุนได้อย่างสมดุล โดยสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสามัญสูงสุดจะอยู่ที่ไม่เกิน 10% ของ NAV ของกองทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี
นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนผ่าน กองทุนเปิด LHPROPIA เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทน และกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนในช่วงที่ตลาดทุนมีความผันผวนสูงได้
ที่มา LH Fund
