สรุปภาวะตลาด
"ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงทั้ง 3 ดัชนี"
โดย Dow Jones ปรับลง 2.4%, S&P500 ปรับลง 2.8% และ Nasdaq ปรับตัวลงเกือบ 4%
-สาเหตุหลักๆ มาจากการที่นักลงทุนกังวลว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นหลังรัสเซียไม่ได้ปฏิเสธโอกาสเกิดสงครามนิวเคลียร์
-ขณะที่ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง
Microsoft นั้น แม้จะดีกว่าคาด (ธุรกิจ cloud ยังเติบโตดี) แต่การดีกว่าเพียงเล็กน้อยไม่สามารถช่วยหนุนราคาหุ้นให้ปรับขึ้นได้มากนัก
-ส่วน Google ทำผลประกอบการได้แย่กว่าคาด ราคาหุ้นจึงปรับตัวลงต่อหลังชั่วโมงการซื้อขาย
-ขณะที่ราคาหุ้น TESLA ปรับลงแรง จากการที่นักลงทุนกังวลว่า Elon Musk จะขายหุ้น TESLA เพื่อซื้อ Twitter และเป็นการละทิ้ง core business
ในระยะสั้นมองว่า
ปัจจัยที่กดดันตลาดโดยรวม ได้แก่
1. การขึ้นดอกเบี้ยและทำ QT ของ FED: ประเด็นนี้ตลาดรับรู้ไปค่อนข้างมากแล้ว ว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง (front-load) หากมติการ
ประชุมในสัปดาห์หน้า (รู้ผลคืนวันที่ 4 พ.ค. ตามเวลาไทย) ไม่ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยและทำ QT มากกว่าคาด จะทำให้ตลาดคลายกังวลประเด็นนี้ลงได้
2. Russia-Ukraine Tension: จะยังเป็น overhang จนกว่าจะถึง victory day ของรัสเซีย (9 พ.ค.) ซึ่งหากถึงวันนั้นแล้วรัสเซียมีการประกาศชัยชนะที่ชัดเจน
จะทำให้นักลงทุนคลายกังวลลง
ปัจจัยที่กดดันเฉพาะรายบริษัท ได้แก่
1. ปัจจัยเฉพาะตัวของแต่ละบริษัท คือ ผลประกอบการ 1Q/2022 และ guidance ในอนาคต: หลังผ่านช่วงประกาศผลประกอบการไปแล้ว มองว่าหุ้นกลุ่ม quality และ defensive
จะยังทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่น (อย่างไรก็ดีในช่วงประกาศผลประกอบการราคาหุ้นจะมีความผันผวนสูง และอาจมีแรงขายออกมาก่อนเพราะนักลงทุนกังวลว่าผลประกอบการต่ำคาด)
คำแนะนำ
-แนะนำระมัดระวังการลงทุน และมีเงินสดติดพอร์ทการลงทุน 10-20% เพื่อทยอยลงทุนในช่วงที่ตลาดยังมีความกังวลจาก 3 ปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น
-หุ้นไทยและเวียดนาม ยังมีโอกาสทำผลงานได้ดีกว่าตลาดหุ้นอื่น แนะนำทยอยลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
ที่มา LH Fund
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน