สรุปภาวะตลาด
ตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?
ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ของบริษัทส่วนใหญ่ที่แข็งแกร่งช่วยหนุนให้หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นและ outperform ตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นได้ต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปออกมาให้ความเห็นว่าจะยังไม่เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหากไม่มีสัญญาณว่าเงินเฟ้อจะสูงกว่า 2% อย่างมากและสูงยาวนาน โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติในปีหน้า
มุมมองการลงทุน
ตลาดหุ้น คาดตลาดให้ความสำคัญการเปิดเผยแผนการทำ QE Tapering ของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยหากการลดสภาพคล่องต่อเดือนไม่รวดเร็วกว่าที่ตลาดคาด จะไม่เป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนได้รับรู้การทำ QE Tapering ไปแล้ว ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 และมุมมองต่อผลประกอบการในอนาคตของผู้บริหาร เป็นอีกปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญ
ในระยะ 6 เดือนข้างหน้าหุ้นกลุ่ม Value, Cyclical, และประเทศที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า มีโอกาสได้รับการปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นได้ หุ้นกลุ่มนี้เช่น EM ที่ยัง laggard และ ASEAN เป็นต้น มีโอกาส outperform ตลาดโดยรวม แม้จะมีโอกาส underperform ในระยะสั้น
หุ้นจีน (offshore) นั้นคาดว่ามีโอกาส bottom out ไปแล้วหรืออย่างช้าในช่วงปลายปี
หุ้นไทย มองว่ากำไรต่อหุ้นจะดีขึ้นโดยได้รับผลบวกจากการกลับมาเปิดเศรษฐกิจเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้การบริโภค และการเดินทางเพิ่มขึ้น เป็นผลดีต่อกลุ่ม ธนาคาร, ค้าปลีก, ขนส่ง รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่อยู่อาศัยและนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
PF&REITs คาด REITs เอเชียรวมถึงไทยมี downside risk ค่อนข้างจำกัด จากราคาที่ laggard โดยหากการฉีดวัคซีนก้าวหน้าจะเป็นปัจจัยหนุน REITs กลุ่มนี้ได้ รวมถึงมีอัตราเงินปันผลที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Global REITs จึงน่าจะ outperform ได้ในระยะถัดจากนี้
กลยุทธ์การลงทุน และกองทุนที่น่าสนใจ
ระยะยาว ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากกว่า REITs และตราสารหนี้ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่อาจไม่ปรับตัวขึ้นรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา เพราะสภาพคล่องในระบบลดลง กองทุนที่แนะนำทยอยสะสมเพื่อลงทุนระยะกลางเช่น
LHTPROP (ระดับความเสี่ยง 8) และ LHPROPIA (ระดับความเสี่ยง 8 และมี FX Risk) ซึ่งมีโอกาสได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดเศรษฐกิจหลังผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น มีอัตราเงินปันผลและ Earning Yield Gap ปี 2022 สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และยัง laggard
LHGROWTH (ระดับความเสี่ยง 6) เนื่องหุ้นไทยมีโอกาสได้ผลดีจากการกลับมาเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลบวกกับกลุ่ม ธนาคาร, ค้าปลีก, ขนส่ง รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่อยู่อาศัยและนิคมอุตสาหกรรม
LHSMARTDSSF (ระดับความเสี่ยง 5) สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นและ PF&REITs ไทยพร้อมประหยัดภาษี โดยแนะนำทยอยลงทุนเมื่อ SET Index ปรับตัวใกล้ระดับ 1,600 จุด +/-
LHCHINA (ระดับความเสี่ยง 6) โดยมองว่า valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่อัตราการเติบโตของบริษัทที่ลงทุนยังมีแนวโน้มเติบโตได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะมี fund flow กลับเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ laggard ในปีหน้า
โดยแนะนำลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุน
Key Event ในสัปดาห์นี้
ต่างประเทศ
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยติดตามวงเงิน QE Tapering ต่อเดือน หากไม่สูงกว่าที่คาด จะไม่ส่งผลลบต่อตลาดหุ้น และการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือนต.ค.
PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน (Caixin) รวมถึง PMI ภาคบริการของสหรัฐฯ และจีน (Caixin)
ผลประกอบการบจ. Q3/2564
ภายในประเทศ
ผลประกอบการบจ. Q3/2564 กลุ่ม Real Sector และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย
ที่มา LHFund 29 ต.ค. 64