สรุปภาวะตลาด
ตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?
ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วปรับตัวผสมผสาน โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นโดดเด่น โดยยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจหลังได้ตัวนายกฯ ใหม่ ส่วนตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาตลาดหุ้นจีน A-shares ปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่น ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากแรงขายทำกำไร
มุมมองการลงทุนในสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้น
คาดตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยนักลงทุนจะให้ความสำคัญกับความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมวันที่ 21-22 ก.ย. มากขึ้น โดยหาก FED ลด QE หรือมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น แต่หาก FED ลดวงเงิน QE น้อยกว่าหรือช้ากว่าคาด ดอลลาร์สหรัฐฯ มีโอกาสอ่อนค่า และน่าจะมี fund flow เข้ามายังตลาดประเทศกำลังพัฒนา สำหรับตลาดหุ้นไทยมี upside จำกัด หลังตลาดปรับตัวขึ้นมารวดเร็ว และอาจมีแรงขายทำกำไรในหุ้นบางตัวที่ปรับตัวขึ้นรับการ re-opening เมื่อเข้าใกล้ช่วงประกาศผลประกอบการณ์ไตรมาส 3/2564
REITs
คาด REITs ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและมีสัดส่วนของ REITs ยุคใหม่ในสัดส่วนสูงจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีได้ในระยะยาว แต่ upside จำกัดในระยะสั้น ขณะที่ REITs กลุ่มประเทศประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทยมี downside risk ค่อนข้างจำกัด จากราคาที่ laggard โดยหากการฉีดวัคซีนก้าวหน้าจะเป็นปัจจัยหนุน REIT กลุ่มนี้ได้ และมีอัตราเงินปันผลที่สูงกว่าโดยเปรียบเทียบ
กลยุทธ์การลงทุน และกองทุนที่น่าสนใจ
มองว่าในระยะยาวหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ แต่อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นรวดเร็วเหมือนในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเริ่มเห็นการปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั่วโลก (สัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ประกาศลดวงเงินการซื้อพันธบัตรในโครงการ PPEP ลง) รวมถึงเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลเริ่มหมดลง โดยในช่วงเดือนนี้อาจมีการปรับฐานได้หาก FED มีการลด QE ในปริมาณที่มากกว่าคาด หรือ Dot Plot แสดงให้เห็นการขึ้นดอกเบี้ยที่มากหรือเร็วกว่าคาด โดยหากเกิดการปรับตัวลง แนะนำให้ buy on dip ในกองทุนที่ลงทุนในหุ้น โดยมีกองทุนแนะนำเช่น
LHCYBERได้ประโยชน์จากการที่มูลค่าอุตสาหกรรม cybersecurity เติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปีตั้งแต่ 2019 – 2026 โดยเติบโตตามความต้องการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 25% - 40% เป็นต้น
LHJAPE นโยบายการคลังและการเงินยังผ่อนคลาย สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ Forward P/E ที่ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะยาว ถูกกว่าสหรัฐฯ และยุโรป กำไรต่อหุ้นถูกปรับขึ้น และได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจหากการกระจายวัคซีนทำได้ดีต่อเนื่อง
LHGEQ กองทุนหุ้นโลกซึ่งมีผลงานที่ดีต่อเนื่อง และ diversify การลงทุนได้ดีทั้งประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรม
LHSMARTSSF สำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดภาษี โดยแนะนำทยอยลงทุนเมื่อดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,600 จุด
ความเสี่ยง ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อาจมีการปรับฐานหากมีปัจจัยลบแม้เพียงเล็กน้อยเข้ามาในระยะสั้น โดยนักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้นอาจพิจารณาทำกำไรบางส่วนในกองทุนที่แนะนำในช่วงก่อนหน้า โดยอาจพักเงินในกองทุน money market เพื่อรอเข้าลงทุนอีกครั้งเมื่อตลาดปรับลง
ทั้งนี้แนะนำลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุน
Key Event ในสัปดาห์นี้
ต่างประเทศ
-อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือน ส.ค. สหรัฐฯ (คาด 0.3% mom) และยอดผู้ขอสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกสหรัฐฯ
-อัตราเงินเฟ้อยูโรโซน เดือนส.ค. (คาด 3% yoy)
-ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ส.ค. จีน (คาด 5.8% yoy)
ภายในประเทศ
การปรับน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี FTSE
ที่มา LHFund 10 ก.ย. 64