สรุปภาวะตลาด
"FED ยังคง Hawkish แล้วเราลงทุนกองทุนไหนดี"
เกิดอะไรขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วในปีนี้ รวมถึงจะทำการลดสภาพคล่อง (Quantitative Tightening หรือ “QT”) 95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ซึ่งมากกว่าที่เคยทำในปี 2018 เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าและยาวนานกว่าคาดการณ์ ท่าทีดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความ hawkish ของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุน
ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง หลังทราบว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดในปีนี้ รวมถึงจะทำ QT มากกว่าที่เคยทำในช่วงปี 2018 เนื่องจากเป็นการลดสภาพคล่องในช่วงที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลง โดยตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ขณะที่ตลาดหุ้นไทย และเวียดนามได้รับผลกระทบที่น้อยกว่าเนื่องจากเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในปีนี้และปีหน้า
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
ติดตามอัตราเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) เดือนมี.ค. ของจีน (คาด 7.7% yoy) ซึ่งหากลดลงจากเดือนก่อนหน้าตามคาด จะเป็นผลดีต่อสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อสูงของโลก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่
ติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และโลก เช่น ยอดขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ รวมถึงการส่งออกของจีน ซึ่งจะบ่งบอกแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในอนาคต
มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน
- หุ้นเวียดนาม น่าสนใจลงทุนจากเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น คาดเติบโต 6-7% สูงสุดในอาเซียนในปีนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนคาดเติบโต 15-20% และ valuation ที่ยังถูกเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ
- หุ้นไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะกลางยาว แต่ในระยะสั้นอาจเผชิญการปรับลดกำไรต่อหุ้นลงจากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ในระยะสั้นหุ้นขนาดกลางขนาดเล็กมีโอกาส outperform หุ้นขนาดใหญ่ต่อไป
- หุ้นกลุ่ม quality growth ยังน่าสนใจลงทุนในระยะกลางยาว หลังปรับตัวลงมาแรงจน valuation อยู่ในระดับน่าสนใจ
- นักลงทุนระยะสั้น รับความผันผวนได้สูง ทยอยลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะยาวสามารถทยอย DCA
กองทุนที่น่าสนใจลงทุนเช่น LHVN, LHDIGITAL, LHCYBER, LHMSFL และ LHPROPIA เป็นต้น
ที่มา LH Fund 11 เม.ย. 65
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
