• ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี DJI +0.7% S&P 500 +1.9% Nasdaq +3.5% จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกว่าคาด เช่น ISM ภาคการผลิต และการบริการ การจ้างงานนอกภาคเกษตรแม้มากกว่าคาด แต่อัตราว่างงานก็สูงกว่าคาดที่ 4.1% รายงานการประชุม Fed และคำพูดของ Powell ที่เป็นไปตามคาด ผลการเลือกตั้งฝรั่งเศสที่ฝ่ายขวาชนะน้อยกว่าคาด และผลการเลือกตั้งอังกฤษที่พรรคแรงงานชนะขาดลอยด้วยคะแนนที่เหนือกว่าคาดการณ์ที่ 412 จาก 650 ที่นั่ง

• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 ถึงแม้ว่าตลาดได้ปรับตัวลงในวันที่ 28 มิ.ย. หลังจากการปราศัยประชันกันระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธาธิบดี อย่างนาย Joe Biden และ Donald Trump โดยตลาดนั้น ได้ปรับเพิ่มความน่าจะเป็นที่นาย Donald Trump นั้นมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงเดือนพ.ย. นี้ เช่นเดียวกับพรรค Republicans ที่อาจจะชนะทั้งสภา Congress และ Senate ซึ่งอาจจะตามมาด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศจีนขึ้นอีก, การเข้มงวดเรื่องแรงงานต่างด้าว (ซึ่งจะทำให้ค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น) และอาจจะมีนโยบายเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งอาจจะทำให้ปัญหาเงินเฟ้อ และการขาดดุลทางการคลังนั้นเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดได้มีการฟื้นตัวต่อเนื่องในวันที่ 1-3 ก.ค. หลังจากที่ประธานธ.กลางสหรัฐฯ (Fed) และธ.กลางยุโรป (ECB) นั้นได้แสดงความพึงพอใจต่อตัวเลขเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวลดลงในปีนี้ และได้ทำให้ตลาดมีความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะตามมา นอกจากนี้นักลงทุนได้มีมุมมองเชิงบวกต่อฤดูผลประกอบการไตรมาส 2 (โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี) ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจนั้นจะมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง แต่อัตรากำไรนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่ต้นทุนวัตถุดิบ และพลังงานต่างๆ รวมถึงค่าแรง ได้ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หลายบริษัทนั้นได้มีการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิผล และอัตรากำไรให้แก่องค์กรมากขึ้น

• ตลาดหุ้นยุโรปได้มีการฟื้นตัวในสัปดาห์นี้ โดยตลาดนั้นได้ลดความกังวลต่อสถานการณ์ทางการคลังของประเทศฝรั่งเศส หลังจากที่ผลโพลล่าสุดนั้นทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า พรรคฝ่ายขวาของนาง Le Pen นั้นอาจจะไม่สามารถชนะเสียงส่วนใหญ่ในสภาได้ ซึ่งจะทำให้นโยบายสุดโต่งหลายอย่างนั้น อาจจะไม่สามารถผ่านการอนุมัติจากสภาได้ ซึ่งความเสี่ยงทางการคลังที่ลดลงนั้น ได้ทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรฝรั่งเศสนั้นปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้?
• ตลาดหุ้นจีน และฮ่องกง ยังคงมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นำโดยหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ โดยมาตรการเข้าซื้อเพื่ออุ้มช่วยเหลือภาคอสังหาฯของรัฐบาล, การลดกฎระเบียบของผู้ซื้อต่างๆ และการกระตุ้นสินเชื่อนั้น ยังคงไม่สามารถทำให้ยอดขายอสังหาฯ และภาคการก่อสร้างในจีนนั้นฟื้นตัวได้มากนัก เช่นเดียวกับ ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคจีนที่ ฟื้นตัวน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ในช่วงกลางปีนั้น ได้ทำให้นักลงทุนกลับมามีความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจในระยะยาวของจีน เช่นเดียวกับ ผลกำไรของบริษัทเอกชน
• ตลาดหุ้นไทย SET +11.03 จุด (+0.8%) สู่ระดับ 1311.99 จุด เป็นการปรับขึ้นสัปดาห์แรกในรอบ 7 สัปดาห์ ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติ เป็นผู้ขายสุทธิ Bt0.8bn แต่ นักลงทุนสถาบันในประเทศ เป็นผู้ซื้อสุทธิ Bt3.3bn

    
   10 ก.ค. จีน เงินเฟ้อ (มิถุนายน) (YoY) คาดว่าอยู่ที่ 0.4% โดยเดือนก่อนอยู่ที่ 0.3%
   10 ก.ค. ไทย ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาคดีถอดถอนนายกฯ
   10-11 ก.ค.  สหรัฐ Fed Powell แถลงต่อรัฐสภา
   11 ก.ค. สหรัฐ เงินเฟ้อ (มิถุนายน) (YoY) คาดว่าอยู่ที่ 3.1% โดยเดือนก่อนอยู่ที่ 3.3%
   12 ก.ค. สหรัฐ ผลประกอบการสถาบันการเงิน JPMorgan, Citi

• LHGEQ มีกลยุทธ์การลงทุนใน Quality Growth Stock และบริหารแบบเชิงรุก เน้นคัดหุ้นที่มีคุณภาพและแนวโน้มการเติบโตของกำไรในหุ้นทั่วโลก  โดยเน้นการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ประกอบกับสัญญาณทางเทคนิคของ S&P 500 Index ที่ปิดเหนือ All time high เราจึงมองว่าหุ้นในกลุ่ม Big/Mid Cap , Growth มีโอกาสไปต่อได้อีก
• LHSEMICON โดยลงทุนหลักใน iShares Semiconductor ETF – SOXX เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีเช่น กลุ่มผู้ผลิตต้นน้ำ,กลุ่มผู้ผลิตที่ไม่มีโรงงานเป็นของตนเอง (Fabless Semiconductor Manufacturing),กลุ่มที่เชี่ยวชาญการผลิตชิพที่เกี่ยวข้องกับ S-Curve ใหม่ดังกล่าว หรือกลุ่มที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าคู่แข่งเป็นผู้นำตลาด หรือกลุ่มอื่นๆที่มีผลประกอบการและแนวโน้มการเติบโตโดดเด่น ตัวอย่างเช่น NVIDIA, Broadcom, AMD, Intel, Texas Instrument เป็นต้น