สรุปภาวะตลาด
"มองหาโอกาสลงทุน หลังเงินเฟ้อพื้นฐานสหรัฐฯ สูงกว่าคาด"
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ของสหรัฐฯ เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 0.6% mom สูงกว่าคาดที่ 0.3% mom โดยมีปัจจัยผลักดันหลักๆ มาจากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ (สัดส่วนเกือบ 40% ใน core CPI) ที่ยังเพิ่มขึ้น 0.7% mom โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่ปีค.ศ. 1991 และเมื่อเทียบเป็นรายปีพบว่าค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปพบว่าราคาพลังงานที่ลดลงส่งผลดีต่อเงินเฟ้อ แต่การเพิ่มขึ้นใน sector อื่นๆ เช่น ราคาอาหาร ค่าไฟฟ้า และค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ เป็นปัจจัยกดดันที่อาจทำให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าคาด (Sticky inflation)
จากเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดดังกล่าวทำให้นักลงทุนเริ่มคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (“FED”) มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะขึ้นดอกเบี้ย 1% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. นี้ หรือมีดอกเบี้ยที่ต้องขึ้นเพิ่มเติมอีก 0.25% มากกว่าคาดการณ์เดิม จึงพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทำให้ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ลดลง 4% - 5% ตามลำดับ
มุมมองและคำแนะนำการลงทุน
เงินเฟ้อที่ออกมาดังกล่าวเป็นไปตามที่เราให้มุมมองว่ายังต้องระวังว่าเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงเป็นระยะเวลานาน (Sticky Inflation) และหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงเร็วและแรงอาจเกิด stagflation ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะกดดันตลาดหุ้น อย่างไรก็ดีจากการที่ 5-yr Breakeven Inflation Expectation ปรับตัวลงต่อเนื่องจาก 3.6% มาอยู่ที่ประมาณ 2.5% หากยังลดลงต่อเนื่องอาจทำให้ FED ไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงเกินไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้น
แนะนำลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยทยอยสะสมเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลง และยังให้น้ำหนักในหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการบริโภค รวมถึงยัง laggard และ valuation ไม่แพงเช่นไทย เวียดนาม ซึ่งแม้จะปรับตัวลงแต่คาดไม่ลงแรงเท่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป (โดยมีแรงหนุนตามปัจจัยข้างต้น) กองทุนแนะนำเช่น LHSELECT, LHSTRATEGY และ LHVN เป็นต้น
ที่มา: Bloomberg, CNBC, CME FED Watch, LH Fund
14 September 2022